PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์
“เพื่อนคู่คิด” เคียงข้างธุรกิจคุณ

ยกระดับการทำบัญชีของคุณให้มีประสิทธิภาพด้วย ซอฟต์แวร์บัญชี PEAK ใช้งานบนระบบ Cloud 100% พร้อมเทคโนโลยี AI และรองรับการเชื่อมต่อข้อมูลจากภายนอก ลดภาระงานเอกสาร ประหยัดเวลา  และวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

30,000

บริษัท

วางใจใช้งาน PEAK

1,800

สำนักงานบัญชี

ที่ช่วยดูแลลูกค้าร่วมกับเรา

8

ล้านรายการ/เดือน

เอกสารที่สร้างจากระบบ

80,000

ล้านบาท/เดือน

มูลค่ารายการค้าต่อเดือน

พันธมิตรและสถาบันการศึกษาในความร่วมมือ



โปรแกรมบัญชีสำเร็จรูปที่เข้าใจเจ้าของกิจการและนักบัญชี

  • เจ้าของกิจการ
  • นักบัญชี
รู้ต้นทุน รู้กำไร รู้สต็อกสินค้า
ธุรกิจซื้อมาขายไป

รู้ต้นทุน รู้กำไร รู้สต็อกสินค้า
ออกใบแจ้งหนี้ วางบิลได้ครบถ้วน

ช่วยคุณติดตามยอดขาย ต้นทุน และกำไรของสินค้า เก็บประวัติการซื้อขาย ดูแนวโน้มราคา จดจำราคาลูกค้า กำหนดวงเงินการขายเชื่อ และเครดิตเทอมแต่ละราย ช่วยคุณออกใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีที่ดูน่าเชื่อถือ

รู้ต้นทุน และกำไรได้ทันที
บันทึกเคลื่อนไหวสต็อกอัตโนมัติ
ดูประวัติ แนวโน้มราคา
เอกสารสวยงาม น่าเชื่อถือ
เชื่อมต่อข้อมูลจากร้านค้าออนไลน์
ธุรกิจ e-Commerce

เชื่อมต่อข้อมูลจากร้านค้าออนไลน์ลงบัญชีได้โดยไม่ต้องคีย์ซ้ำ

เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำบัญชี ลดเวลาการคีย์ข้อมูล ลดข้อผิดพลาด รองรับทั้งการเชื่อมต่อผ่าน API เพื่อบันทึกรายการอัตโนมัติ หรือการนำเข้าข้อมูลเป็นชุดผ่านไฟล์ Excel ไม่ต้องคีย์ทีละรายการ

API ที่ PEAK เชื่อมต่อ
อัปโหลดข้อมูลจากไฟล์ Excel หรือจากแพลตฟอร์ม e-Commerce
รองรับการเชื่อมต่อผ่าน API บันทึกรายการอัตโนมัติ
บริการธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ
ธุรกิจบริการ

บริการธุรกิจได้อย่างเป็นระบบ
ช่วยเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น

สร้างเอกสารธุรกิจดูมืออาชีพ กำหนดข้อมูลที่แสดง โลโก้ คำศัพท์ หรือแม้แต่สีบนเอกสารได้ รองรับการออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การสร้างเอกสารอัตโนมัติตามรอบ ดูกำไร ขาดทุนรายโครงการ บริหารงานออนไลน์จากที่ไหนก็ได้

เอกสารสวยงาม มืออาชีพ
เก็บข้อมูลตามโครงการ แผนก ฯลฯ
รองรับใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์
สร้างใบแจ้งหนี้อัตโนมัติตามรอบ
นักบัญชีไม่ต้องคีย์ซ้ำ

ลงบัญชี ไม่ต้องคีย์ซ้ำ
ลดข้อผิดพลาดและการทำงานซ้ำซ้อน

ระบบลงบัญชีรายวัน บัญชีแยกประเภท งบทดลอง และออกงบการเงินอัตโนมัติ
ตรวจสอบข้อมูลคู่ค้าอัตโนมัติ
จากเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร
ระบบปฏิบัติการออนไลน์ 100% อัปเดตข้อมูลแบบ Real-Time
แนบเอกสารออนไลน์
ลดการส่งเอกสารฉบับจริง
ลดการทำงานของนักบัญชี

กระทบยอดอัตโนมัติ
ลดเวลาทำงานได้ถึง 50%*

กระทบยอด Statement บัญชีธนาคารอัตโนมัติ
เชื่อมต่อธุรกิจ e-Commerce ผ่านระบบ APIช่วยให้บันทึกบัญชีอัตโนมัติ
รองรับการชำระเงิน ผ่าน QR Code
จัดการคลังสินค้าแบบ Real-Time

* คำนวณจากการทำงานร่วมกับลูกค้า ลดการคีย์ข้อมูลซ้ำซ้อนในด้านรายได้ รองรับการนำเข้าจากไฟล์ Excel หรือการคีย์ค่าใช้จ่ายหลายรายการพร้อมกันในหน้าเดียว

ระบบบัญชี ภาษี เงินเดือน รองรับการทำงานแบบครบวงจร

ระบบบัญชี ภาษี เงินเดือน
รองรับการทำงานแบบครบวงจร

logo PEAK Tax
PEAK Tax จัดการรายงานภาษีได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
logo PEAK Payroll
PEAK Payroll จัดการเงินเดือนได้อย่างง่ายดาย
logo PEAK Account
PEAK Board รู้ผลประกอบการ กำไร ขาดทุนได้แบบ Real-Time
logo PEAK Board
PEAK Asset ดูแลสินทรัพย์ของกิจการได้ทุกรายละเอียด

ผลิตภัณฑ์ของ PEAK

PEAK Account
โปรแกรมบัญชีออนไลน์

จัดการเอกสารและบัญชีได้ครบ ตั้งแต่ใบเสนอราคา ใบแจ้งหนี้ ใบเสร็จเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีทั้งแบบกระดาษ หรือแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ตลอดจนช่วยจัดทำงบการเงิน บันทึกข้อมูลอัตโนมัติ ลดงานซ้ำซ้อน เพิ่มความแม่นยำในการทำงาน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Payroll
โปรแกรมเงินเดือนออนไลน์

บริหารเงินเดือน ภาษี และประกันสังคมอัตโนมัติ สร้างสลิปเงินเดือนออนไลน์ และลงบัญชีทันที ลดภาระงานเอกสารของธุรกิจ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Board
โปรแกรมวิเคราะห์ธุรกิจ

ดูภาพรวมธุรกิจแยกตามงานโครงการ สาขา หรือมิติอื่นๆ ที่ต้องการแบบ Real-time ช่วยให้ตัดสินใจทางธุรกิจได้แม่นยำขึ้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Asset
โปรแกรมบริหารจัดการสินทรัพย์

ติดตามและจัดการทรัพย์สินของกิจการได้ครบ ตั้งแต่บันทึกถึงคำนวณค่าเสื่อมราคาอัตโนมัติ และจัดทำรายงานทรัพย์สินอัตโนมัติช่วยให้งานบัญชีเป็นระบบและตรวจสอบง่าย

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

PEAK Tax
โปรแกรมจัดการภาษีออนไลน์

สรุปข้อมูลภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีหัก ณ ที่จ่าย ช่วยจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ พร้อมยื่นแบบภาษี ลดข้อผิดพลาดและทำงานได้รวดเร็วขึ้น

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

LINE @PEAK Connect
ใช้งานโปรแกรมผ่านไลน์

เข้าถึงข้อมูลบัญชีได้ทุกที่ผ่าน LINE แจ้งเตือนเอกสารและอัปเดตสถานะ Real-time ช่วยให้นักบัญชีและเจ้าของกิจการไม่พลาดข้อมูลสำคัญ

ดูรายละเอียดเพิ่มเติม

แพ็กเกจการใช้งาน

ลงทุนในการใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ และบริการรับทำบัญชี ที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโต

FREE

สำหรับผู้เริ่มต้นกิจการ

1 ผู้ใช้งาน

แดชบอร์ดสรุปผลประกอบการ

เอกสารใบเสนอราคา

เอกสารใบแจ้งหนี้

เอกสารใบเสร็จรับเงิน

เอกสารบันทึกค่าใช้จ่าย

งบการเงินและรายงานภาษี

ผู้ติดต่อสูงสุด 20 รายการ

สินค้าสูงสุด 5 รายการ

ช่องทางการเงินเฉพาะเงินสด

สร้างเอกสารได้ไม่จำกัด

สร้างรายการย้อนหลังได้ 2 เดือน

BASIC

ธุรกิจขนาดเล็ก

฿500

/ เดือน

฿1,500

/ 3 เดือน

฿5,000

/ 12 เดือน

เปรียบเทียบกับโปรแกรมอื่น

ฟังก์ชันทั้งหมดของ FREE

5 ผู้ใช้งาน

ช่องทางการเงินสูงสุด 5 ช่องทาง

จำนวนพนักงานสูงสุด 10 ราย

แดชบอร์ดสรุปผลประกอบการ

PEAK AI แนะนำราคาขายสินค้า

PEAK AI แนะนำจำนวนขายสินค้า

PEAK AI แนะนำการลงภาษี VAT และ WHT

รายงานเอกสาร

เอกสารทางธุรกิจทั้งหมด

เรียกเก็บเงินผ่านเอกสารออนไลน์

ระบบปรับแต่งเอกสาร

e-Tax Invoice by Time Stamp

ผู้ติดต่อไม่จำกัด

สินค้าไม่จำกัด

PEAK AI แนะนำการลงข้อมูลและบัญชี

PEAK Tax

PEAK Asset

PRO

ธุรกิจที่ต้องการขยายตัว

฿900

/ เดือน

฿2,500

/ 3 เดือน

฿9,000

/ 12 เดือน

ฟังก์ชันทั้งหมดของ BASIC

10 ผู้ใช้งาน

ช่องทางการเงินสูงสุด 10 ช่องทาง

จำนวนพนักงานสูงสุด 20 ราย

Dashboard แสดงข้อมูลสินค้า

PEAK AI แนะนำราคาขายสินค้า

PEAK AI แนะนำจำนวนขายสินค้า

PEAK AI แนะนำการลงภาษี VAT และ WHT

ระบบบันทึกต้นทุนขายอัตโนมัติแบบ FIFO

ระบบกระทบยอดธนาคาร

PRO Plus

ธุรกิจที่ต้องการระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ

฿1,200

/ เดือน

฿3,500

/ 3 เดือน

฿12,000

/ 12 เดือน

ฟังก์ชันทั้งหมดของ PRO

10 ผู้ใช้งาน

สิทธิ์การใช้งานแบบกำหนดเอง 2 สิทธิ์

ระบบเพิ่มสิทธิการใช้งาน

ช่องทางการเงินสูงสุด 25 ช่องทาง

ไม่จำกัดจำนวนพนักงาน

Dashboard แสดงข้อมูลสินค้า

สร้างรายการจากยอดธนาคาร

ปรับแบบงบการเงินตามกิจการ

ระบบปันส่วนกลุ่มจัดประเภท

สร้างเอกสารจากไฟล์ Excel

e-Tax Invoice & e-Receipt

ปรับงบกำไรขาดทุนเฉพาะกิจการ

ระบบเชื่อมต่อ API

PEAK Board

ระบบใหม่

จ่ายเงินเดือนพร้อมลงบัญชีอัตโนมัติ

ทำไฟล์จ่ายเงินเดือนธนาคาร

ออนไลน์ (SCB, KBANK, BBL)

สลิปเงินเดือนพนักงาน

แบบยื่นประกันสังคมออนไลน์

PREMIUM

ธุรกิจที่ต้องการการควบคุมภายในที่ดี

ฟังก์ชันทั้งหมดของ PRO Plus

10 ผู้ใช้งาน

ไม่จำกัดสิทธิ์การใช้งานแบบกำหนดเอง

ระบบเพิ่มสิทธิการใช้งาน

ช่องทางการเงินสูงสุด 50 ช่องทาง

เอกสารใบขอซื้อ (PR)

เอกสารรับสินค้า/บริการ (GR)

เอกสารรับเอกสารแจ้งหนี้ (IR)

ระบบสร้างไฟล์โอนเงินธนาคาร

ตั้งค่าบัญชีรายวัน

ระบบควบคุมการออกใบเสนอราคา

ระบบควบคุมการออกใบสั่งซื้อ

Enterprise

บริษัทขนาดใหญ่ บริษัทมหาชน

ฟังก์ชันทั้งหมดของ PREMIUM

ไม่จำกัดจำนวนผู้ใช้งาน

ทีมดูแลลูกค้า Enterprise

แยกเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว

สิทธิผู้ใช้งานแบบกำหนดเองได้

ฟังก์ชันการใช้งานเฉพาะธุรกิจ

สัมมนาและเวิร์กชอป

รางวัลและความภาคภูมิใจ

รางวัลรองชนะเลิศ TICTA
TICTA

รางวัลรองชนะเลิศ Thailand ICT Awards 2022 (TICTA)

หมวดหมู่ Business Services โดย สมาคมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศไทย

รางวัล Microsoft Award
Microsoft Thailand

รางวัล Microsoft Best SME Solutions Award

โดย Microsoft Thailand Founders Club

NIA Reward
Cloud Accounting Software
True Incube Reward
DEPA Reward
Coupon Reward
PEAK Learning Center
PEAK Learning Center
PEAK Care

พร้อมดูแล อุ่นใจทุกการใช้งาน

บริการช่วยเหลือ สนับสนุน และอบรมการใช้งาน พร้อมด้วยศูนย์การเรียนรู้ PEAK Learning Center เปิดโอกาสในการเพิ่มทักษะการทำธุรกิจและบัญชี

เจ้าของธุรกิจและสำนักงานบัญชีไว้วางใจใช้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์

บทความน่ารู้

26 Aug 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 Aug 2025

PEAK Account

11 min

ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เอกสารสำคัญเอกสารสำคัญในขั้นตอนการซื้อขาย

ใบแจ้งหนี้ Invoice คือ? ใบแจ้งหนี้ หรือ Invoice คือ เอกสารทางบัญชีที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการออกให้กับผู้ซื้อหลังจากที่มีการซื้อขายสินค้า/บริการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ออกเพื่อแจ้งหนี้หรือยอดชำระให้ผู้ซื้อทราบอีกครั้ง โดยใบแจ้งหนี้ส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาการจ่ายเงินกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องจ่ายในทันทีที่ออกเอกสาร เอกสารประเภทนี้จึงมักใช้ร่วมกับการซื้อขายในรูปแบบ Business to Business (B2B) ที่แต่ละบริษัทมักจะมีกำหนดรอบวันจ่ายเงินที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง ใครเป็นคนออกใบแจ้งหนี้ Invoice? ผู้ขายสินค้า/บริการ มีหน้าที่ต้องออกใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ซื้อ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายบัญชีในการออกเอกสารและประสานงานกับบริษัทที่ทำการซื้อขายด้วยกัน แต่ถ้าในธุรกิจยังมีพนักงานจำนวนไม่เยอะ ผู้ประกอบการก็สามารถออกเอกสารได้ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีที่จะมีเทมเพลตเอกสารใบแจ้งหนี้ให้อย่างเรียบร้อยครบถ้วน เพราะใบแจ้งหนี้ Invoice คือหนึ่งในเอกสารพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจประเภท B2B เลยก็ว่าได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง? ใบแจ้งหนี้ Invoices คือเอกสารที่อยู่ในขั้นตอนการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เช่นเดียวกับ ใบเสนอราคา Quotation แต่จะเป็นเอกสารที่ออกให้หลังจากซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ตามข้อมูลในใบแจ้งหนี้กับใบเสนอราคาจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายในครั้งดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ซื้อ ผู้ขาย รายละเอียดสินค้า/บริการ ยอดชำระรวม และส่วนท้ายสำหรับลงลายมือชื่อทั้งสองฝั่ง ซึ่งข้อมูลจำเป็นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ 1. ส่วนหัวกระดาษ ส่วนแรกด้านบนสุดของใบแจ้งหนี้ จะเป็นการระบุข้อมูลทั่วไปของผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมระบุ ‘ใบแจ้งนี้ Invoice’ ให้ชัดเจนเพื่อให้ทราบว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารอะไร 2. รายละเอียดการซื้อขาย ถัดมาต่อจากส่วนหัวกระดาษที่เราได้ลงรายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขายไว้สำหรับเป็นข้อมูลแล้ว ต่อมาจะเป็นส่วนของรายละเอียดของสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการซื้อขายของใบแจ้งหนี้นี้ โดยในส่วนของข้อมูลจะต้องระบุให้ละเอียดครบถ้วน พร้อมชี้แจงราคาของแต่ละส่วนอย่างชัดเจน  ทั้งนี้ในการทำธุรกิจที่เป็นการให้บริการอาจมีการจำแนกที่ค่อนข้างต่างจากการขายสินค้าแบบทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ขายให้บริการด้านการทำการตลาดวางแผนกลยุทธิ์ และทำโฆษณาออนไลน์ ที่ซึ่งมักจะมีรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยกว่าการซื้อขายทั่วไป ในส่วนของรายละเอียดอาจจำแนกแต่ละค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนดังนี้ ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้จะต้องพูดคุยกันให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเริ่มบริการ เพื่อให้เข้าใจตรงกันและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 3. ส่วนท้ายของเอกสาร มาถึงส่วนสุดท้ายในใบเสนอราคา Invoices คือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำหรับการเซ็นต์เอกสารของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้เอกสารฉบับดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริงตามกฎหมายนั่นเอง โดยส่วนนี้จะประกอบไปด้วย ต้องออกใบแจ้งหนี้ Invoice เมื่อไหร่? สามารถออกเอกสารใบแจ้งหนี้ Invoice ได้ทันทีหลังจากที่ซื้อขาย หรือให้บริการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามหากมีการตกลงรอบการจ่ายเงินไว้ก่อนหน้านี้ก็สามารถออกเอกสารให้ลูกค้าตามรอบที่กำหนดได้  วิธีการออกใบแจ้งหนี้ Invoice ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารใช้กันมานาน ในอดีตจะเป็นในรูปแบบของกระดาษคาร์บอนที่จะมีช่องสำหรับกรอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมน้อยลงเพราะสามารถออกเอกสารแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมบัญชีได้ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มาพร้อมเทมเพลตใบแจ้งหนี้ สามารถออกเอกสารได้ง่าย และสามารถเก็บเอกสารได้ง่ายกว่าฉบับจริงเช่นเดียวกัน และส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็มักส่งเอกสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้รูปแบบนี้สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนยุ่งยากลงไปได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice, ใบวางบิล Billing, และใบเสร็จรับเงิน Receipt แตกต่างกันอย่างไรในธุรกิจ? หากไม่นับใบเสนอราคา ยังมีเอกสารอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับใบแจ้งหนี้และผู้ประกอบการหลายท่านมักสับสนว่าต้องออกเอกสารฉบับไหนให้ลูกค้าถึงจะถูกต้อง ในส่วนนี้เรามาแนะนำเอกสารอื่น ๆ อย่าง ใบวางบิล และใบเสร็จรับเงินให้รู้จักกันคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ใบวางบิล Billing ใบวางบิล หรือ Billing เป็นเอกสารด้านบัญชีหนึ่งรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น สามารถใช้ใบวางบิลแทนใบแจ้งหนี้ หรือหากกิจการของเรามีการขายสินค้าให้ลูกค้าหลายครั้งในแต่ละเดือน สามารถออกใบวางบิลเพื่อรวมยอดจากใบแจ้งหนี้เพื่อเก็บเงินครั้งเดียวได้ นับเป็บการรวมยอดส่งเอกสารเรียกเก็บเงินจากลูกค้าทีเดียวนั้นเอง ใบเสร็จรับเงิน Receipt ในส่วนของ ใบเสร็จรับเงิน หรือ Receipt เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้รับเงิน ซึ่งก็คือผู้ขายสินค้า/บริการนั่นเอง โดยจะเป็นการออกให้กับผู้ชำระเงินหลังจากที่ขั้นตอนการชำระเงินเสร็จสิ้น ได้รับเงินครบถ้วนเรียบร้อยตามใบแจ้งหนี้หรือใบวางบิล ซึ่งข้อมูลภายในเอกสารก็จะมีความใกล้เคียงกัน จากรายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่าเอกสารแต่ละรูปแบบนั้นมีโครงสร้างข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่จุดประสงค์ในการออกเอกสาร หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แต่ละเอกสารนั้นต่างกันออกไปนั่นเอง เพื่อความถูกต้องแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้ให้ครบถ้วน ออกใบแจ้งนี้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารที่สามารถออกได้ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ เพราะนับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารทางธุรกิจจำเป็นต้องออกบ่อย โปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมเทมเพลตและรูปแบบการใช้งานที่สามารถทำได้ง่าย ช่วยให้การออกเอกสารกลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็มาพร้อมฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีก็สามารถออกเอกสารได้ง่าย ๆ ผู้ประกอบการสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเสนอราคา ใบวางบิล ใบเสร็จ รวมไปถึงใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษีได้อีกด้วย ทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ มากมายที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ!  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 Aug 2025

PEAK Account

12 min

ใบเสร็จรับเงิน เอกสารสำคัญที่ต้องออกให้ลูกค้า

เวลาซื้อของหรือทานข้าวตามร้านในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ มักจะได้รับ ใบเสร็จรับเงิน อยู่เสมอไม่ว่าเราจะได้ขอจากพนักงานหรือไม่ ซึ่งใบเสร็จก็เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องมีการออกให้ลูกค้าเสมอ และในฐานะผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องรู้จัก และสามารถออกเอกสารนี้ได้อย่างถูกต้องให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการก็จำเป็น ในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับใบเสร็จมากขึ้น พร้อมแล้วมาติดตามกันเลย ใบเสร็จ (Receipt) คืออะไร? ใบเสร็จ หรือ Receipt คือ เอกสารที่ออกเพื่อเป็นหลักฐาน และเป็นการยืนยันว่าผู้ขายได้รับเงินจากผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นเอกสารที่ผู้ขายต้องออกให้ผู้ซื้อทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 100 บาทขึ้นไป ไม่ว่าลูกค้าจะขอใบเสร็จหรือไม่ ใบเสร็จมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง? ถึงแม้ว่าการซื้อขายจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่มีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นต้องออกใบเสร็จให้แก่ผู้จ่ายเงินด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และธุรกิจที่ยังไม่ได้จดจะออกใบเสร็จที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 1. ใบเสร็จรับเงินทั่วไป สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถออกเป็นรูปแบบใบเสร็จรับเงินธรรมดาที่มีข้อมูลของสินค้าหรือบริการ และรายละเอียดทั่วไปได้ 2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ถัดมาเป็นใบเสร็จที่มักพบในชีวิตประจำวันจะเป็น ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ซึ่งก็คือใบเสร็จกระดาษใบเล็กที่จะได้รับหลังชำระเงินให้ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารนั่นเอง โดยข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะระบุข้อมูลที่อยู่ของผู้ขาย ข้อมูลสินค้าหรือบริการ และราคาไว้ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการที่สามารถออกใบเสร็จประเภทนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และเป็นธุรกิจประเภทค้าปลีกและค้าขายกับลูกค้ารายย่อย ที่อาจมีจำนวนการซื้อขายต่อวันหลายครั้ง และลูกค้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบเสร็จรับเงินในการดำเนินการด้านเอกสาร 3. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) รูปแบบของใบเสร็จที่ออกอาจมีความแตกต่างออกไปเป็นรูปแบบ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป โดยจะเป็นรูปแบบที่มีข้อมูลละเอียดมากกว่าใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ มีการระบุข้อมูลของผู้ซื้อ ซึ่งธุรกิจที่ออกใบเสร็จประเภทนี้ก็จะเป็นต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และโดยส่วนใหญ่จะออกให้กับลูกค้าที่เป็นกิจการ เพราะมักจะต้องใช้เอกสารนี้ในการดำเนินการด้านบัญชีต่อไป นอกจากประเภทของใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบที่เราได้ยกตัวอย่างมา ยังมีรูปแบบบิลเงินสดที่มีรายละเอียดน้อยมากที่สุด มักใช้กันในร้านขายของชำ ร้านขายของทั่วไป เขียนรายละเอียดด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบใบเสร็จที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น โดยสรุปแล้วสำหรับผู้ประกอบการ ขึ้นอยู่กับว่าดำเนินธุรกิจประเภทไหนอยู่ หากทำธุรกิจที่เน้นการซื้อขายกับผู้ประกอบการด้วยกันเป็นหลักก็อาจมีโอกาสได้ใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีเต็มรูปมากกว่า แต่ถ้าทำธุรกิจค้าปลีก ขายให้ลูกค้ารายย่อยเป็นหลักก็จะใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีอย่างย่อบ่อยกว่านั่นเอง ทั้งนี้ควรมีระบบโปรแกรมบัญชีที่สามารถออกเอกสารได้ครบทุกรูปแบบจะดีมากที่สุด ข้อมูลที่ต้องมีบนใบเสร็จ สำหรับใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบนั้นมีข้อมูลที่ต้องระบุค่อนข้างใกล้เคียงกันต่างกันเพียงเล็กน้อยตามความละเอียดของแต่ละประเภท ซึ่งทั้ง 3 แบบมีข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุดังนี้ 1. ข้อมูลในใบเสร็จรับเงินทั่วไป 2. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป 3. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเสร็จออกในกรณีไหนได้บ้าง โดยปกติใบเสร็จจะต้องออกทุกครั้งเมื่อ ได้รับเงินครบ ก็สามารถออกเอกสารฉบับนี้ออกมาเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานการรับเงินได้เลย เพราะหากทำการซื้อขายเสร็จแล้ว แต่ทางผู้ขายไม่ออกเอกสารใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อยหลังจากที่ได้รับเงินแล้ว อาจมีบทลงโทษปรับเงินไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ออกใบเสร็จอย่างไรให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ซึ่งการออกใบเสร็จเป็นขั้นตอนที่ธุรกิจที่มีการซื้อขายหลายครั้งในแต่ละเดือนจำเป็นต้องทำเป็นประจำ ซึ่งมาพร้อมกองเอกสารมากมายที่ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน จากในอดีตที่ออกใบเสร็จกันด้วยวิธีการเขียนมือทุกรายการ ทำให้มีความยุ่งยากและเสียเวลา ทั้งยังมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสูง ไปจนถึงการต้องเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันจึงหันมานิยมใช้รูปแบบการพิมพ์ใบเสร็จผ่านโปรแกรมหน้าร้าน เช่น ระบบ POS ที่สามารถพิมพ์ใบเสร็จให้ลูกค้าเมื่อมีการจ่ายเงินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนทีละรายการ นอกจากนี้ในกรณีที่พิมพ์ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีก็มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามารองรับการใช้งานในส่วนนี้ ทำให้คุณสามารถพิมพ์เอกสารได้ง่ายขึ้น แถมบันทึกให้อัตโนมัติในระบบ สามารถเรียกดูได้ไม่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ ที่สำคัญคือส่งให้ลูกค้าได้ง่ายผ่านรูปแบบไฟล์ได้เลย พื้นฐานของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมาพร้อมกับระบบภายในที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ การปรับใช้เทคโนโลยีหรือโปรแกรมเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยสร้างระบบที่ดีในองค์กร โปรแกรมบัญชี PEAK มาพร้อมระบบการจัดการด้านบัญชีอย่างครบวงจรเพื่อธุรกิจทุกขนาด ให้การทำงานเป็นระบบ ลดขั้นตอนอันยุ่งยาก และเพิ่ม Productivity ของพนักงาน เพื่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว โดยโปรแกรม PEAK สามารถจัดทำใบเสร็จได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงการพิมพ์ใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ที่มักใช้ในขั้นตอนการซื้อขายเช่นกัน ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ POS ที่ใช้ในการบริหารจัดการหน้าร้านได้อีกด้วย เริ่มต้นใช้วันนี้เพื่อการเติบโตขององค์กรในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

อ่านบทความเพิ่มเติม
อ่านบทความเพิ่มกว่า 300+ บทความ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK Account

PEAK เหมาะสำหรับเจ้าของกิจการ SME, นักบัญชี, และสำนักงานที่ให้บริการรับทำบัญชีที่ต้องการระบบช่วยจัดการเอกสาร การเงิน และภาษีแบบออนไลน์ครบวงจร

PEAK เป็น โปรแกรมทำบัญชีออนไลน์บนระบบ Cloud 100% ผู้ใช้สามารถออกเอกสาร บันทึกบัญชี และดูรายงานได้ทุกที่ทุกเวลา ข้อมูลทุกส่วนเชื่อมโยงอัตโนมัติและอัปเดตแบบเรียลไทม์

ระบบของ PEAK ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อช่วยบันทึกข้อมูลอัตโนมัติ กระทบยอดธนาคาร และสร้างรายงานบัญชีได้ทันที ช่วยให้สำนักงานบัญชีทำงานได้เร็วขึ้น และลดความผิดพลาดจากงานเอกสารซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารกับเจ้าของกิจการ

ได้แน่นอน! เรียกว่าเป็นจุดเด่นที่ลูกค้าตัดสินใจใช้ โปรแกรมบัญชี PEAK เลย โดยโปรแกรมจะรองรับการเชื่อมต่อกับระบบภายนอก เช่น ธนาคาร, Shopee, Lazada, TikTok Shop, POS และระบบ ERP อื่น ๆ ผ่าน API อัตโนมัติ

ปลอดภัยอย่างยิ่ง เพราะโปรแกรมมีการจำกัดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล, การเข้าถึงด้วยระบบ 2FA, การป้องกันด้วยรหัส PIN 6 หลักในเมนูสำคัญๆ และข้อมูลทั้งหมดถูกเก็บไว้บน ระบบ Cloud มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล จากผู้ให้บริการอย่าง Microsoft Azure ซึ่งเป็นระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ

ได้เลย! คุณสามารถ ทดลองใช้ฟรี 30 วัน พร้อมฟังก์ชันครบทุกระบบ ทั้งบัญชี เงินเดือน ภาษี และรายงาน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม