PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ใบเสร็จรับเงิน เอกสารสำคัญที่ต้องออกให้ลูกค้า

เวลาซื้อของหรือทานข้าวตามร้านในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ มักจะได้รับ ใบเสร็จรับเงิน อยู่เสมอไม่ว่าเราจะได้ขอจากพนักงานหรือไม่ ซึ่งใบเสร็จก็เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องมีการออกให้ลูกค้าเสมอ และในฐานะผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องรู้จัก และสามารถออกเอกสารนี้ได้อย่างถูกต้องให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการก็จำเป็น ในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับใบเสร็จมากขึ้น พร้อมแล้วมาติดตามกันเลย ใบเสร็จ (Receipt) คืออะไร? ใบเสร็จ หรือ Receipt คือ เอกสารที่ออกเพื่อเป็นหลักฐาน และเป็นการยืนยันว่าผู้ขายได้รับเงินจากผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นเอกสารที่ผู้ขายต้องออกให้ผู้ซื้อทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 100 บาทขึ้นไป ไม่ว่าลูกค้าจะขอใบเสร็จหรือไม่ ใบเสร็จมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง? ถึงแม้ว่าการซื้อขายจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่มีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นต้องออกใบเสร็จให้แก่ผู้จ่ายเงินด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และธุรกิจที่ยังไม่ได้จดจะออกใบเสร็จที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 1. ใบเสร็จรับเงินทั่วไป สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถออกเป็นรูปแบบใบเสร็จรับเงินธรรมดาที่มีข้อมูลของสินค้าหรือบริการ และรายละเอียดทั่วไปได้ 2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ถัดมาเป็นใบเสร็จที่มักพบในชีวิตประจำวันจะเป็น ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ซึ่งก็คือใบเสร็จกระดาษใบเล็กที่จะได้รับหลังชำระเงินให้ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารนั่นเอง โดยข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะระบุข้อมูลที่อยู่ของผู้ขาย ข้อมูลสินค้าหรือบริการ และราคาไว้ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการที่สามารถออกใบเสร็จประเภทนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และเป็นธุรกิจประเภทค้าปลีกและค้าขายกับลูกค้ารายย่อย ที่อาจมีจำนวนการซื้อขายต่อวันหลายครั้ง และลูกค้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบเสร็จรับเงินในการดำเนินการด้านเอกสาร 3. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) รูปแบบของใบเสร็จที่ออกอาจมีความแตกต่างออกไปเป็นรูปแบบ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป โดยจะเป็นรูปแบบที่มีข้อมูลละเอียดมากกว่าใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ มีการระบุข้อมูลของผู้ซื้อ ซึ่งธุรกิจที่ออกใบเสร็จประเภทนี้ก็จะเป็นต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และโดยส่วนใหญ่จะออกให้กับลูกค้าที่เป็นกิจการ เพราะมักจะต้องใช้เอกสารนี้ในการดำเนินการด้านบัญชีต่อไป นอกจากประเภทของใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบที่เราได้ยกตัวอย่างมา ยังมีรูปแบบบิลเงินสดที่มีรายละเอียดน้อยมากที่สุด มักใช้กันในร้านขายของชำ ร้านขายของทั่วไป เขียนรายละเอียดด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบใบเสร็จที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น โดยสรุปแล้วสำหรับผู้ประกอบการ ขึ้นอยู่กับว่าดำเนินธุรกิจประเภทไหนอยู่ หากทำธุรกิจที่เน้นการซื้อขายกับผู้ประกอบการด้วยกันเป็นหลักก็อาจมีโอกาสได้ใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีเต็มรูปมากกว่า แต่ถ้าทำธุรกิจค้าปลีก ขายให้ลูกค้ารายย่อยเป็นหลักก็จะใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีอย่างย่อบ่อยกว่านั่นเอง ทั้งนี้ควรมีระบบโปรแกรมบัญชีที่สามารถออกเอกสารได้ครบทุกรูปแบบจะดีมากที่สุด ข้อมูลที่ต้องมีบนใบเสร็จ สำหรับใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบนั้นมีข้อมูลที่ต้องระบุค่อนข้างใกล้เคียงกันต่างกันเพียงเล็กน้อยตามความละเอียดของแต่ละประเภท ซึ่งทั้ง 3 แบบมีข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุดังนี้ 1. ข้อมูลในใบเสร็จรับเงินทั่วไป 2. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป 3. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเสร็จออกในกรณีไหนได้บ้าง โดยปกติใบเสร็จจะต้องออกทุกครั้งเมื่อ ได้รับเงินครบ ก็สามารถออกเอกสารฉบับนี้ออกมาเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานการรับเงินได้เลย เพราะหากทำการซื้อขายเสร็จแล้ว แต่ทางผู้ขายไม่ออกเอกสารใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อยหลังจากที่ได้รับเงินแล้ว อาจมีบทลงโทษปรับเงินไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ออกใบเสร็จอย่างไรให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ซึ่งการออกใบเสร็จเป็นขั้นตอนที่ธุรกิจที่มีการซื้อขายหลายครั้งในแต่ละเดือนจำเป็นต้องทำเป็นประจำ ซึ่งมาพร้อมกองเอกสารมากมายที่ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน จากในอดีตที่ออกใบเสร็จกันด้วยวิธีการเขียนมือทุกรายการ ทำให้มีความยุ่งยากและเสียเวลา ทั้งยังมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสูง ไปจนถึงการต้องเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันจึงหันมานิยมใช้รูปแบบการพิมพ์ใบเสร็จผ่านโปรแกรมหน้าร้าน เช่น ระบบ POS ที่สามารถพิมพ์ใบเสร็จให้ลูกค้าเมื่อมีการจ่ายเงินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนทีละรายการ นอกจากนี้ในกรณีที่พิมพ์ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีก็มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามารองรับการใช้งานในส่วนนี้ ทำให้คุณสามารถพิมพ์เอกสารได้ง่ายขึ้น แถมบันทึกให้อัตโนมัติในระบบ สามารถเรียกดูได้ไม่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ ที่สำคัญคือส่งให้ลูกค้าได้ง่ายผ่านรูปแบบไฟล์ได้เลย พื้นฐานของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมาพร้อมกับระบบภายในที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ การปรับใช้เทคโนโลยีหรือโปรแกรมเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยสร้างระบบที่ดีในองค์กร โปรแกรมบัญชี PEAK มาพร้อมระบบการจัดการด้านบัญชีอย่างครบวงจรเพื่อธุรกิจทุกขนาด ให้การทำงานเป็นระบบ ลดขั้นตอนอันยุ่งยาก และเพิ่ม Productivity ของพนักงาน เพื่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว โดยโปรแกรม PEAK สามารถจัดทำใบเสร็จได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงการพิมพ์ใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ที่มักใช้ในขั้นตอนการซื้อขายเช่นกัน ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ POS ที่ใช้ในการบริหารจัดการหน้าร้านได้อีกด้วย เริ่มต้นใช้วันนี้เพื่อการเติบโตขององค์กรในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เอกสารสำคัญเอกสารสำคัญในขั้นตอนการซื้อขาย

ใบแจ้งหนี้ Invoice คือ? ใบแจ้งหนี้ หรือ Invoice คือ เอกสารทางบัญชีที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการออกให้กับผู้ซื้อหลังจากที่มีการซื้อขายสินค้า/บริการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ออกเพื่อแจ้งหนี้หรือยอดชำระให้ผู้ซื้อทราบอีกครั้ง โดยใบแจ้งหนี้ส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาการจ่ายเงินกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องจ่ายในทันทีที่ออกเอกสาร เอกสารประเภทนี้จึงมักใช้ร่วมกับการซื้อขายในรูปแบบ Business to Business (B2B) ที่แต่ละบริษัทมักจะมีกำหนดรอบวันจ่ายเงินที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง ใครเป็นคนออกใบแจ้งหนี้ Invoice? ผู้ขายสินค้า/บริการ มีหน้าที่ต้องออกใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ซื้อ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายบัญชีในการออกเอกสารและประสานงานกับบริษัทที่ทำการซื้อขายด้วยกัน แต่ถ้าในธุรกิจยังมีพนักงานจำนวนไม่เยอะ ผู้ประกอบการก็สามารถออกเอกสารได้ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีที่จะมีเทมเพลตเอกสารใบแจ้งหนี้ให้อย่างเรียบร้อยครบถ้วน เพราะใบแจ้งหนี้ Invoice คือหนึ่งในเอกสารพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจประเภท B2B เลยก็ว่าได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง? ใบแจ้งหนี้ Invoices คือเอกสารที่อยู่ในขั้นตอนการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เช่นเดียวกับ ใบเสนอราคา Quotation แต่จะเป็นเอกสารที่ออกให้หลังจากซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ตามข้อมูลในใบแจ้งหนี้กับใบเสนอราคาจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายในครั้งดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ซื้อ ผู้ขาย รายละเอียดสินค้า/บริการ ยอดชำระรวม และส่วนท้ายสำหรับลงลายมือชื่อทั้งสองฝั่ง ซึ่งข้อมูลจำเป็นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ 1. ส่วนหัวกระดาษ ส่วนแรกด้านบนสุดของใบแจ้งหนี้ จะเป็นการระบุข้อมูลทั่วไปของผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมระบุ ‘ใบแจ้งนี้ Invoice’ ให้ชัดเจนเพื่อให้ทราบว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารอะไร 2. รายละเอียดการซื้อขาย ถัดมาต่อจากส่วนหัวกระดาษที่เราได้ลงรายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขายไว้สำหรับเป็นข้อมูลแล้ว ต่อมาจะเป็นส่วนของรายละเอียดของสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการซื้อขายของใบแจ้งหนี้นี้ โดยในส่วนของข้อมูลจะต้องระบุให้ละเอียดครบถ้วน พร้อมชี้แจงราคาของแต่ละส่วนอย่างชัดเจน  ทั้งนี้ในการทำธุรกิจที่เป็นการให้บริการอาจมีการจำแนกที่ค่อนข้างต่างจากการขายสินค้าแบบทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ขายให้บริการด้านการทำการตลาดวางแผนกลยุทธิ์ และทำโฆษณาออนไลน์ ที่ซึ่งมักจะมีรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยกว่าการซื้อขายทั่วไป ในส่วนของรายละเอียดอาจจำแนกแต่ละค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนดังนี้ ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้จะต้องพูดคุยกันให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเริ่มบริการ เพื่อให้เข้าใจตรงกันและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 3. ส่วนท้ายของเอกสาร มาถึงส่วนสุดท้ายในใบเสนอราคา Invoices คือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำหรับการเซ็นต์เอกสารของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้เอกสารฉบับดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริงตามกฎหมายนั่นเอง โดยส่วนนี้จะประกอบไปด้วย ต้องออกใบแจ้งหนี้ Invoice เมื่อไหร่? สามารถออกเอกสารใบแจ้งหนี้ Invoice ได้ทันทีหลังจากที่ซื้อขาย หรือให้บริการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามหากมีการตกลงรอบการจ่ายเงินไว้ก่อนหน้านี้ก็สามารถออกเอกสารให้ลูกค้าตามรอบที่กำหนดได้  วิธีการออกใบแจ้งหนี้ Invoice ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารใช้กันมานาน ในอดีตจะเป็นในรูปแบบของกระดาษคาร์บอนที่จะมีช่องสำหรับกรอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมน้อยลงเพราะสามารถออกเอกสารแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมบัญชีได้ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มาพร้อมเทมเพลตใบแจ้งหนี้ สามารถออกเอกสารได้ง่าย และสามารถเก็บเอกสารได้ง่ายกว่าฉบับจริงเช่นเดียวกัน และส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็มักส่งเอกสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้รูปแบบนี้สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนยุ่งยากลงไปได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice, ใบวางบิล Billing, และใบเสร็จรับเงิน Receipt แตกต่างกันอย่างไรในธุรกิจ? หากไม่นับใบเสนอราคา ยังมีเอกสารอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับใบแจ้งหนี้และผู้ประกอบการหลายท่านมักสับสนว่าต้องออกเอกสารฉบับไหนให้ลูกค้าถึงจะถูกต้อง ในส่วนนี้เรามาแนะนำเอกสารอื่น ๆ อย่าง ใบวางบิล และใบเสร็จรับเงินให้รู้จักกันคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ใบวางบิล Billing ใบวางบิล หรือ Billing เป็นเอกสารด้านบัญชีหนึ่งรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น สามารถใช้ใบวางบิลแทนใบแจ้งหนี้ หรือหากกิจการของเรามีการขายสินค้าให้ลูกค้าหลายครั้งในแต่ละเดือน สามารถออกใบวางบิลเพื่อรวมยอดจากใบแจ้งหนี้เพื่อเก็บเงินครั้งเดียวได้ นับเป็บการรวมยอดส่งเอกสารเรียกเก็บเงินจากลูกค้าทีเดียวนั้นเอง ใบเสร็จรับเงิน Receipt ในส่วนของ ใบเสร็จรับเงิน หรือ Receipt เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้รับเงิน ซึ่งก็คือผู้ขายสินค้า/บริการนั่นเอง โดยจะเป็นการออกให้กับผู้ชำระเงินหลังจากที่ขั้นตอนการชำระเงินเสร็จสิ้น ได้รับเงินครบถ้วนเรียบร้อยตามใบแจ้งหนี้หรือใบวางบิล ซึ่งข้อมูลภายในเอกสารก็จะมีความใกล้เคียงกัน จากรายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่าเอกสารแต่ละรูปแบบนั้นมีโครงสร้างข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่จุดประสงค์ในการออกเอกสาร หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แต่ละเอกสารนั้นต่างกันออกไปนั่นเอง เพื่อความถูกต้องแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้ให้ครบถ้วน ออกใบแจ้งนี้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารที่สามารถออกได้ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ เพราะนับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารทางธุรกิจจำเป็นต้องออกบ่อย โปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมเทมเพลตและรูปแบบการใช้งานที่สามารถทำได้ง่าย ช่วยให้การออกเอกสารกลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็มาพร้อมฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีก็สามารถออกเอกสารได้ง่าย ๆ ผู้ประกอบการสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเสนอราคา ใบวางบิล ใบเสร็จ รวมไปถึงใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษีได้อีกด้วย ทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ มากมายที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ!  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 20/08/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Connect to TikTok Shop API! Manage orders more conveniently for online stores 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who sell products via TikTok Shop and need e-commerce API integration. 🎯 Highlight: The system now supports API connection with TikTok Shop, enabling automatic recording of sales revenue from online stores. No need to enter data manually each time, reducing work steps and making document creation more convenient. ✨ 2. Updated Cash In–Cash Out Dashboard in the Finance menu, easier to view details 🧑‍💼 Suitable for: All users who want to monitor cash inflows and outflows quickly and in detail. 🎯 Highlight: Users can click to view detailed Cash In–Cash Out Dashboard data instantly. The sources of various amounts are clearly displayed, with information pulled directly from payment receipts on documents. Results are shown in an easy-to-read calendar format, with direct links to original documents for precise verification. ✨ 3. Support importing Statement files from TTB Business One for bank reconciliation 🧑‍💼 Suitable for: Accountants who need to perform bank reconciliation using TTB (TMBThanachart) Statement files. 🎯 Highlight: The system supports importing TTB Business One files in both Excel and PDF (EN version) for bank reconciliation functions, making work faster, more convenient, and more accurate. ✨ 4. Improved document import page: edit VAT and price types in one go 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who use the document import function and need to manage large data efficiently.🎯 Highlight: When importing documents, whether from PEAK templates or other platforms, users can select the VAT type and rate for all items at once. This makes bulk data editing more convenient, saves time, and reduces errors. ✨ 5. Updated accounting entries for IR and GR 🧑‍💼 Suitable for: PREMIUM package users who use IR/GR documents and review input tax 🎯 Highlight: The system has revised the accounting entries by moving the “input tax not yet due” from Goods Receipt (GR) to Invoice Receipt (IR). The GR document now only records goods and expenses, ensuring accounting accuracy and aligning with actual tax documents. 📌 Note:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 20/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ API TikTok Shop ได้แล้ว! จัดการออเดอร์สะดวกขึ้นสำหรับร้านค้าออนไลน์ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ขายสินค้าผ่าน TikTok Shop และต้องการ API e-commerce🎯Highlight : ระบบเพิ่มการเชื่อมต่อกับ API กับ TikTok Shop ช่วยให้การบันทึกรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ทำได้อัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกเองทุกครั้ง ลดขั้นตอนการทำงาน และสร้างเอกสารได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม ✨ 2. อัปเดต Dashboard เงินเข้า-เงินออกที่เมนูการเงิน คลิกดูรายละเอียดได้สะดวกกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องการตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกอย่างละเอียดและรวดเร็ว🎯Highlight : ผู้ใช้งานสามารถคลิกดูรายละเอียดหน้า Dashboard เงินเข้า–ออกจากได้ทันที เห็นที่มาของยอดต่าง ๆ ชัดเจน ข้อมูลดึงตรงจากการรับ/จ่ายชำระเงินหน้าเอกสาร พร้อมแสดงผลในปฏิทินแบบเข้าใจง่าย และมีปุ่มลิงก์ไปยังเอกสารต้นทางเพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ✨ 3. รองรับนำเข้าไฟล์ Statement จาก TTB Business One เพื่อกระทบยอดธนาคารได้แล้ว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการกระทบยอดธนาคารโดยใช้งานไฟล์ Statement ของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)🎯Highlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์ TTB Business One ทั้งแบบ Excel และ PDF (เวอร์ชัน EN) เพื่อใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้การทำงานสะดวก รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ✨ 4. ปรับปรุงหน้านำเข้าเอกสาร แก้ไข VAT และประเภทราคาได้ในครั้งเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใข้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ใช้งานฟังก์ชันนำเข้าเอกสาร (Import) และต้องการจัดการข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น🎯Highlight : เมื่อมีการนำเข้าเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นจากเทมเพลตของ PEAK หรือจากแพลตฟอร์มอื่นๆ และต้องการแก้ไขข้อมูลภาษีทุกรายการพร้อมกัน ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทภาษีและอัตรา VAT ที่ต้องการได้ทันที ทำให้การแก้ไขข้อมูลนำเข้าจำนวนมากในครั้งเดียวสะดวกขึ้น ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดในการทำงาน ✨ 5. ปรับการบันทึกบัญชี IR และ GR ใหม่ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PREMIUM ที่ใช้เอกสาร IR/GR และตรวจสอบภาษีซื้อ 🎯Highlight : ระบบได้ปรับรูปแบบการบันทึกบัญชีใหม่ โดยย้ายการบันทึก “ภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนด” จากเอกสารรับสินค้า (GR) ไปอยู่ในเอกสารรับใบแจ้งหนี้ (IR) แทน ซึ่งเอกสาร GR จะบันทึกเฉพาะสินค้าและค่าใช้จ่ายเท่านั้น เพิ่มความถูกต้องตามหลักบัญชี ทำให้การบันทึกบัญชีชัดเจนขึ้นและตรงกับเอกสารภาษีจริง 📌หมายเหตุ:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ระเบียบการแข่งขัน PEAK Digital Accounting Championship 2025

ไฟล์ระเบียบการแข่งขัน โครงการค้นหา “สุดยอดว่าที่นักบัญชี” แห่งยุคดิจิทัล ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น.ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อสร้างเวทีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความสามารถ และทดสอบความรู้การใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์1.2 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ด้านการบัญชี1.3 ส่งเสริมการทํางานร่วมกันเป็นทีม และเสริมสร้างความสามัคคีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา1.4 มอบโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนจากสถาบันอื่น 2. คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน 2.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี โดยต้องมีสถานภาพเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ณ วันสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน2.2 สมาชิกทีมละ 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน 3. ขอบเขตเนื้อหาการแข่งขัน 3.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี และภาษี3.2 การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์3.3 การวิเคราะห์ และประยุกต์การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ตามประเภทของธุรกิจ 4. การรับสมัคร 4.1 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 25684.2 ทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ เท่านั้น4.3 ปิดรับสมัครการแข่งขันวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายในเวลา 23.59 น.4.4 ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2568 ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com4.5 ผู้เข้าแข่งขันสามารถทำแบบทดสอบรอบคัดเลือกได้โดยจะได้รับลิงก์เข้าสู่ระบบทดสอบ Flexiquiz ผ่านช่องทางอีเมล และจะสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.5.1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำแบบทดสอบผ่านระบบที่กำหนดเท่านั้น4.5.2 ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องทำแบบทดสอบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น4.5.3 แต่ละทีมสามารถทำแบบทดสอบได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีการส่งผลทดสอบ มากกว่า 1 ครั้ง ทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากการส่งผลทดสอบครั้งแรกเท่านั้น 4.6 คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านการคัดเลือกจํานวน 50 ทีม เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 25684.7 กรณีสถาบันการศึกษาสมัครเข้าร่วมมากกว่า 3 ทีม ทางคณะกรรมการขอสงวนสิทธิ์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศสูงสุด 3 ทีมต่อสถาบันศึกษา โดยคัดเลือกจากผลการทดสอบรอบคัดเลือกหมายเหตุ: หากทีมใดไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดข้างต้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 5. วัน เวลา และสถานที่จัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 50 ทีม ต้องเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 6. กำหนดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียนรายงานตัวเข้าแข่งขัน08.30 – 09.00 น. พิธีเปิดการแข่งขัน09.00 – 12.30 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 1-212.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน13.30 – 15.00 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 315.00 – 16.00 น. กิจกรรมให้ความรู้จากวิทยากรพิเศษ16.00 – 17.00 น. ประกาศผลการแข่งขัน พิธีมอบรางวัล และกล่าวปิดงาน หมายเหตุ : ไม่มีบริการอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ติดตาม ผู้เข้าสอบต้องนั่งประจำที่สอบ ก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 10 นาที 7. รูปแบบและเกณฑ์การพิจารณาในการตัดสินผลการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก และรอบชิงชนะเลิศ โดยแต่ละรอบมีเกณฑ์ และรายละเอียด ดังนี้ 7.1  รอบคัดเลือก เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ รวม 20 คะแนน โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยมีเกณฑ์การพิจารณารอบคัดเลือก ดังนี้ 7.2  รอบชิงชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศประกอบด้วยการสอบ 3 ส่วน ผลรวม 80 คะแนน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจ (20 คะแนน)เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 30 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์กิจกรรมหลักของธุรกิจจำลอง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางการเงิน การสรุปประเด็นสำคัญ ส่วนที่ 2 การใช้งานโปรแกรม PEAK และเครื่องมืออื่นในงานบัญขี (40 คะแนน)เป็นการบันทึกบัญชีตามโจทย์ที่กําหนดให้ พร้อมนําข้อมูลทางบัญชีมาวิเคราะห์ และตอบคําถาม โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย การบันทึกรายการบัญชีในระบบ PEAK การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในงานบัญชี เช่น AI, Excel การจัดทำรายงานสรุปข้อมูลบัญชี และภาษี ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล (20 คะแนน)เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทําข้อสอบส่วนที่ 2 โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มจากข้อมูลบัญชี เช่น รายได้เพิ่มขึ้น/ลดลง, ต้นทุนสูงผิดปกติ, ลูกหนี้เกินกำหนด ฯลฯ เสนอแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอความคิดเห็นเข้าใจง่าย และตรงประเด็น 8. ข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 8.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องนําโน้ตบุ๊กมาจํานวน 1 เครื่อง ต่อ 1 ทีม โดยทางบริษัทจะจัดเตรียมปลั๊กชาร์จไฟสําหรับโน้ตบุ๊ก และ Wifi ให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.2 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบัน8.3 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทีมต้องรายงานตัวพร้อมกัน และแสดงบัตรประจําตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ภายในเวลาลงทะเบียน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน8.4 ห้ามผู้เข้าแข่งขันนําเครื่องเขียน เครื่องมือสื่อสาร เครื่องคํานวณ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ รวมถึงนาฬิกา Smart Watch เข้าแข่งขัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะมีการจัดเตรียมเครื่องเขียน และกระดาษทดให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.5 ห้ามผู้เข้าแข่งขันยืมอุปกรณ์ใด ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นขณะแข่งขัน8.6 ห้ามผู้เข้าแข่งขันกระทําการใด ๆ ที่ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต8.7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีอาการไข้ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก หรือผลการตรวจ ATK เป็นบวก จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่สามารถแข่งขันด้วยจํานวนสมาชิกที่เหลือได้ หมายเหตุ : หากฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 9. รางวัลการแข่งขัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ระดับปริญญาตรี รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ทั้งนี้สมาชิกของทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้ง 50 ทีม จะได้รับเกียรติบัตรโดย PEAK 10. ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จำกัด

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

รวม 6 เรื่องที่ผู้ประกอบการควรรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน

สลิปเงินเดือน นับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องออกให้พนักงานที่ได้รับเงินเดือนเป็นประจำทุกสิ้นเดือน หลังจากที่มีการจ่ายเงินเดือนเรียบร้อยแล้วเพื่อเป็นหลักฐาน ด้วยเหตุนี้เจ้าของธุรกิจควรต้องเข้าใจถึงความสำคัญ และรายละเอียดเกี่ยวกับเอกสารประเภทนี้ด้วยเช่นเดียวกัน ในบทความนี้เราจึงได้รวบรวมความรู้เกี่ยวกับสลิปเงินเดือน สำหรับเจ้าของธุรกิจโดยเฉพาะ สลิปเงินเดือนคืออะไร? สลิปเงินเดือน คือ เอกสารใบเสร็จที่บริษัทจำเป็นต้องออกให้พนักงานทุกครั้งเมื่อมีการจ่ายเงินเดือนให้แก่พนักงานในแต่ละเดือน ซึ่งสลิปเงินเดือนสามารถออกโดยฝ่าย HR, บัญชี, หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจ ซึ่งข้อมูลภายในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วยข้อมูลของเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนนั้น ๆ โดยจะมีการแจงรายละเอียดของเงินได้ เช่น เงินเดือน, เงินค่าเดินทาง, ค่าทำ OT, รวมไปถึงค่าใช้จ่ายที่ได้ทำการหักออกจากเงินเดือนอย่างเช่น เงินประกันสังคมนั่นเอง ซึ่งวิธีการออกสลิปเงินเดือนบางบริษัทใช้เป็นสลิปเงินเดือนแบบออนไลน์ส่งให้ทางอีเมลเพียงอย่างเดียว แต่บางที่ก็มีทั้งสลิปแบบคาร์บอนเป็นซองปิดผนึกให้พนักงาน และมีสลิปเงินเดือนส่งให้ทางออนไลน์ด้วยเช่นเดียวกัน ขึ้นอยู่กับความสะดวกของผู้รับผิดชอบ แต่อย่างน้อยในแต่ละเดือนจำเป็นต้องมีการส่งมอบเอกสารนี้ให้พนักงานด้วย 1. สลิปเงินเดือนต้องออกเมื่อไร? โดยทั่วไปแล้วฝ่ายบุคคลจะส่งเอกสารสลิปเงินเดือนให้พนักงานหลังจากที่ทำการโอนเงินเรียบร้อยภายในวันเดียวกันหรือส่งให้หลังจากนั้นได้ ยกตัวอย่างเช่น เงินเดือนเข้าบัญชีพนักงานช่วงเช้าของวันจันทร์ที่ 31 พนักงานควรจะได้รับเอกสารเมื่อถึงช่วงเวลาทำงานในวันนั้น ทั้งนี้ใน SME บางบริษัทที่จำนวนพนักงานไม่เยอะมากยังใช้วิธีการโอนเงินด้วยตัวเองอยู่ อาจมีการส่งสลิปเงินเดือนให้ตามหลังขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทแต่ละที่ อย่างไรก็ตามหากไม่ได้รับตามกำหนด สามารถขอกับแผนกที่เกี่ยวข้องได้ 2. ข้อมูลสำคัญที่ต้องมีในสลิปเงินเดือน ภายในสลิปเงินเดือน นอกเหนือจากที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าจำเป็นต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินเดือนที่พนักงานได้รับในเดือนดังกล่าว ที่ซึ่งต้องแจกแจงทั้งเงินเดือนตามแต่ละรูปแบบ รวมไปถึงจำนวนเงินที่ได้ทำการหักออก ในสลิปเงินเดือนยังจำเป็นต้องมีข้อมูลบริษัท, ผู้รับเงิน, วันที่ระบุชัดเจน และการสรุปรายได้ของเดือนดังกล่าวระบุไว้อย่างครบถ้วน สำหรับข้อมูลที่ต้องมีในสลิปเงินเดือนประกอบไปด้วย 8 ส่วนสำคัญดังนี้ หรืออาจมีการเพิ่มข้อมูลรายได้สะสม หรือจำนวนเงินหักประกันสังคมสะสม เพื่อเพิ่มรายละเอียดให้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น 3. สลิปเงินเดือนคาร์บอน vs สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปกติสลิปเงินเดือนจะมีให้พนักงานสองรูปแบบด้วยกัน โดยมีทั้งสลิปเงินเดือนแบบคาร์บอนปิดผนึกที่หลายบริษัทอาจคุ้นเคยกัน โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจมานาน และใช้สลิปคาร์บอนมาโดยตลอด ซึ่งสลิปแบบคาร์บอนจะมีการปิดผนึก และลายน้ำของบริษัท ทำให้มีความน่าเชื่อถือ  แต่ในช่วงที่ผ่านมา เมื่อมีการปรับใช้ระบบออนไลน์กันมากขึ้น หลายบริษัทจึงเริ่มหันมาใช้สลิปเงินเดือนรูปแบบออนไลน์ที่จะส่งให้พนักงานผ่านทางอีเมลบริษัท โดยจะเป็นไฟล์ที่ใส่รหัสเพื่อเป็นการป้องกันข้อมูลเงินเดือนของพนักงานคล้ายกับการปิดผนึกสลิปเงินเดือนคาร์บอนนั่นเอง โดยรูปแบบออนไลน์จะมีความสะดวกในการออกเอกสาร จัดเก็บ และจัดส่งได้คล่องตัวมากกว่าแบบกระดาษคาร์บอน ทั้งนี้อาจมีข้อจำกัดเล็กน้อย เพราะจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ในการเปิดเอกสาร หรือบางบริษัทที่มีผู้สูงอายุอยู่เยอะ ไม่ถนัดกับการใช้ระบบอีเมล การส่งเอกสารออนไลน์ 100% อาจไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร ในหลายที่จึงเลือกส่งให้พนักงานทั้ง 2 แบบ 4. สลิปเงินเดือน ใช้ทำอะไรได้บ้าง? สำหรับผู้ประกอบการสลิปเงินเดือนอาจมีไว้เพียงเพื่อเป็นหลักฐานการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน แต่สำหรับพนักงานแล้วสลิปเงินเดือนสามารถนำไปใช้เป็นเอกสารประกอบการทำธุรกรรมด้านการเงินได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการทำบัตรเครดิต หรือการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่งสลิปเงินเดือนจะใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจของธนาคารว่า พนักงานคนดังกล่าวมีเงินเดือนชัดเจน และสามารถจ่ายค่าบัตร หรือจ่ายสินเชื่อไหว รวมไปถึงจำนวนวงเงินที่ธนาคารจะอนุมัติให้ก็มักมีการดูสลิปเงินเดือนประกอบการพิจารณาเช่นกัน นอกจากนี้อาจมีบางกรณีที่เอกสารสลิปเงินเดือนจำเป็นต้องใช้ในการประกอบการยื่นภาษีของพนักงาน เพื่อเป็นข้อมูลที่มาของรายได้ ในกรณีที่สรรพากรเรียกขอเอกสารเพิ่มเติม 5. พนักงานสัญญาจ้างก็ออกสลิปเงินเดือนได้ บางบริษัทมีการจ้างพนักงานแบบสัญญาจ้าง หรือจ้างฟรีแลนซ์ตามแต่ละโปรเจกต์ ซึ่งการจ้างพนักงานรูปแบบดังกล่าวก็สามารถออกสลิปเงินเดือนให้ได้เช่นกัน แต่บางบริษัทอาจไม่ได้มีการทำเอกสารตรงนี้ให้เป็นปกติเหมือนกับพนักงานประจำที่ได้รับเงินเดือน อย่างไรก็ตามพนักงานสัญญาจ้างสามารถขอเอกสารสลิปเงินเดือนหลังจากมีการจ่ายเงินเมื่อเสร็จงานได้ โดยผู้ออกเอกสารอาจระบุระยะเวลาวันที่ในรอบการจ่ายเงินเดือนตามวันที่ทำงานได้เช่นกัน หรืออาจระบุเพิ่มเติมในหมายเหตุ 6. เหตุผลที่ผู้ประกอบการควรใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกวันนี้ หลายภาคส่วนไม่ว่าเอกชนหรือภาครัฐหันมาใช้ระบบออนไลน์กันทั้งสิ้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการดำเนินการธุรกรรมต่าง ๆ ให้ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งการส่งสลิปเงินเดือนออนไลน์ให้พนักงานก็สามารถช่วยอำนวยความสะดวกให้กับพนักงานที่ต้องดำเนินการส่วนนี้ หรือบางธุรกิจที่ผู้ประกอบการเป็นคนทำเงินเดือนเอง การออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ก็จะช่วยลดภาระงานลงไปได้บางส่วนส่วน เช่น การปริ้นท์เอกสาร การจัดเก็บเอกสาร หรือการค้นหาเอกสาร ที่อาจเป็นงานจุกจิกและยุ่งยาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจได้เต็มที่ หรือในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ได้ทำเอกสารด้วยตัวเอง การใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ก็ช่วยลดรายจ่ายแฝงจากการที่ต้องจัดเก็บเอกสาร และลดความยุ่งยากในการทำงานเอกสารของพนักงานลงไปได้ คำแนะนำของเราอาจเลือกใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์เป็นมาตรฐานที่ส่งให้พนักงานเป็นประจำทุกเดือน แต่หากพนักงานอยากได้สลิปเงินเดือนแบบคาร์บอน เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือในการนำไปใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ สามารถขอล่วงหน้ากับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการออกเอกสารในเดือนดังกล่าวได้ แบบนี้ก็สามารถช่วยลดความยุ่งยากในการทำงานลงไปได้พอสมควรเลยทีเดียว ออกสลิปเงินเดือนออนไลน์ด้วย PEAK ผู้ประกอบการท่านไหนที่อยากปรับเปลี่ยนมาใช้สลิปเงินเดือนออนไลน์ โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็สามารถออกเอกสารส่วนนี้ให้พนักงานได้ ซึ่งเรามาพร้อมกับโปรแกรม PEAK Payroll ช่วยดูแลเรื่องการจ่ายเงินเดือนให้พนักงาน เพิ่มความสะดวก ลดเวลาทำงาน ลดโอกาสเกิดข้อผิดพลาด สามารถปรับใช้ภายในบริษัทได้ง่าย มาพร้อมคู่มือการใช้งานทำตามได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

18 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรรู้ก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์

เมื่อทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่งแล้ว ผู้ประกอบการหลายท่านมักเริ่มต้นตัดสินใจเกี่ยวกับการจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้ธุรกิจ ที่ในปัจจุบันสามารถทำได้ง่ายมากขึ้นผ่านการจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ของทางกรมสรรพากร ซึ่งในบทความนี้เราจะมาแนะนำว่าสามารถจดรูปแบบใดได้บ้าง พร้อมวิธีการประเมินตัวเองว่าควรจดภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของเราเองหรือยัง ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่มหรือ VAT (Value Added Tax) คือภาษีที่กรมสรรพากรเก็บจากธุรกิจที่มีการขายสินค้าหรือบริการ ซึ่งธุรกิจดังกล่าวต้องอยู่ในระบบภาษีของกรมสรรพากร หรือก็คือธุรกิจที่ทำการจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนั่นเอง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีกำหนดชำระทุกเดือน โดยธุรกิจต้องทำการยื่นเอกสารพร้อมชำระภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป สามารถยื่นได้ทั้งรูปแบบออนไลน์ และที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ซึ่งหลังจากจดทะเบียน VAT แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จากลูกค้าที่ทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ ข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เกือบทุกธุรกิจสามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้นับตั้งแต่วันที่เริ่มธุรกิจ แต่จะมีธุรกิจบางประเภทที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มถึง 28 รายการ สามารถดูรายละเอียดของแต่ละรายการได้ที่บทความ “กิจการไหนได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ตามกฎหมาย” ทั้งนี้ถึงแม้ว่าจะอยู่ในรายการกิจการดังกล่าว ก็สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ แต่จะจำกัดเฉพาะที่กฎหมายกำหนด เช่น ธุรกิจที่ยังมีรายได้ต่อปีไม่ถึง 1.8 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ถ้าหากต้องการจดทันที สามารถทำเรื่องยื่นขอจดทะเบียนเป็นกรณีพิเศษได้ ทั้งนี้ในทางกฎหมายหากธุรกิจของคุณเข้าข่ายเงื่อนไขใดข้อใดข้อหนึ่งที่ต้องจดภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 2 ข้อต่อไปนี้ ยกเว้นกรณีที่เป็นกิจการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะต้องรีบดำเนินการจดภายในระยะเวลาที่กำหนดมิเช่นนั้นอาจโดนบทลงโทษทางกฎหมายได้ โดยเงื่อนไขแต่ละข้อมีรายละเอียดดังนี้ หากต้องการดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถรถดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ได้ทันที เพราะหากไม่ดำเนินการภายในระยะเวลาที่กำหนดจะมีความผิดถึง 5 ข้อด้วยกัน วิธีการจดภาษีมูลค่าเพิ่มมีกี่รูปแบบ ในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มปัจจุบัน ทางกรมสรรพากรได้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการด้วยการเปิดระบบการจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ โดยสามารถทำได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปถึงหน่วยงาน ก็สามารถกรอกเอกสารสำหรับการยื่นได้อย่างง่ายดาย สามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับขั้นตอนการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์อย่างละเอียดได้ที่บทความ “รวมขั้นตอนการจดภาษีมูลค่าเพิ่ม และวิธีคิดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ควรรู้”  ส่วนผู้ประกอบการท่านไหนที่อาจไม่ถนัดการใช้ระบบมากนัก หรืออยากปรึกษาเพิ่มเติมกับทางเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับเงื่อนไขต่าง ๆ สามารถเดินทางจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ ทั้งนี้ในกรณีที่ธุรกิจมีหลายสาขาให้เลือกจดทะเบียนที่สำนักงานสรรพากรที่สาขาสำนักงานใหญ่ของธุรกิจเราตั้งอยู่ จดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าจะจดภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ หรือเดินทางไปจดถึงสำนักงานสรรพากร แน่นอนว่าต้องส่งผลดีธุรกิจในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นด้านความน่าเชื่อถือ เพราะในการทำข้อตกลงด้านธุรกิจ โดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำธุรกิจกับธุรกิจด้วยกันเอง B2B (Business-to-Business) ที่ต้องมีการติดต่อค้าขายกับองค์กรหลายรูปแบบเสมอ การจด VAT ก็ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือได้  หรือแม้กระทั่งธุรกิจแบบขายให้ลูกค้าโดยตรง ก็อาจเพิ่มโอกาสปิดยอดขายจากการที่บริษัทอยู่ในระบบ VAT เช่นเดียวกัน โดยเป็นผลจากนโยบายของภาครัฐที่ลูกค้าสามารถนำใบกำกับภาษีจากการซื้อสินค้าหรือเข้ารับบริการไปยื่นเพื่อขอลดหย่อนภาษีได้นั่นเอง หากลูกค้ามีตัวเลือกต้องซื้อกับธุรกิจที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มกับไม่จดทะเบียน ก็มีโอกาสที่ลูกค้าจะตัดสินใจเลือกเราได้ง่ายกว่าแน่นอน นอกจากนี้มุมของธุรกิจเอง เมื่อมีการซื้อสินค้ากับบริษัทที่มีการจดทะเบียนเช่นเดียวกัน ก็สามารถนำภาษีที่เราโดนเรียกเก็บจากบริษัทผู้ขายไปขอคืนได้เช่นกัน คำถามประเมินตัวเองก่อนจด ภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ ในกรณีที่ธุรกิจของคุณยังไม่ได้เข้าข่ายข้อบังคับในการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เรามีคำถามสำหรับประเมินตัวเองสั้น ๆ 4 ข้อ เพื่อให้ทราบแน่ชัดว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่ควรต้องเริ่มต้นจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ 1. มีการค้าขายระหว่างบริษัทเป็นประจำหรือไม่? ความน่าเชื่อถือมีความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจ B2B เพราะฉะนั้นถ้าธุรกิจของคุณต้องติดต่อกับบริษัทอื่นเป็นประจำ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจได้ มีโอกาสที่ธุรกิจอื่นจะอยากทำงานร่วมกันมากยิ่งขึ้น 2. มีความต้องการจัดการบัญชีให้เป็นระบบเรียบร้อยมากขึ้นหรือไม่? หนึ่งในข้อดีสำคัญหลังจากที่ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์แล้ว การทำงานบัญชีจะมีความเป็นระเบียบมากขึ้นโดยอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลที่ว่ามีความจำเป็นต้องทำรายงานภาษีทั้งภาษีซื้อ และภาษีขายทุกเดือน ถ้าปัจจุบันมองว่าอยากเพิ่มการจัดการบัญชีให้เป็นระบบอีกขั้นหนึ่ง การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็อาจเป็นตัวเลือกที่ดี 3. มีความพร้อมที่จะยื่นเอกสารทุกเดือนหรือไม่? เมื่อจดภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มทุกเดือน บางธุรกิจที่ยังไม่มีพนักงานบัญชีดูแลส่วนนี้เป็นหลักอาจมีปัญหายุ่งยากเล็กน้อย แต่หลังจากที่กรมสรรพากรมีระบบตั้งแต่การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ และการยื่นภาษีออนไลน์ ก็ทำให้การจัดการเหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น ยิ่งผู้ประกอบการท่านไหนใช้โปรแกรมบัญชีออนไลน์ควบคู่ไปด้วย จะทำให้การยื่นสะดวกขึ้นแน่นอน 4. สัดส่วนภาษีมูลค่าเพิ่มที่เสียจากต้นทุนในการดำเนินธุรกิจมีสูงหรือไม่? บางธุรกิจที่มีต้นทุนต้องซื้อสินค้าหรือวัตถุดิบจำนวนเยอะ และต้องมีการค้าขายกับธุรกิจอื่นที่จดภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นประจำ ทำให้สัดส่วนของต้นทุนเรามี ภาษีมูลค่าเพิ่ม อยู่ในนั้นด้วย การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มก็สามารถนำส่วนที่เสียไปนั้นไปยื่นขอคืนกับทางกรมสรรพากรได้ จัดการภาษีได้ง่ายขึ้นด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ จากบริการต่าง ๆ ของกรมสรรพากรเห็นได้เลยว่ามีนโยบายที่ต้องการอำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ ทั้งระบบการเปิดรับยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มออนไลน์ การยื่นภาษี รวมไปถึงบริการที่เกี่ยวข้อง ในฝั่งของผู้ประกอบการเอง การปรับใช้ระบบบัญชีออนไลน์ก็ช่วยให้การจัดการภาษีเป็นเรื่องง่ายขึ้น ซึ่งโปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAK ก็มาพร้อมฟีเจอร์การใช้งานที่ตอบโจทย์ ครอบคลุมการใช้งานทั้งด้านภาษีและด้านการจัดการบัญชี มาพร้อมคู่มือการใช้งานอย่างละเอียด เริ่มต้นปรับใช้ได้ง่ายกว่าที่คิด ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

8 ส.ค. 2025

PEAK Account

3 min

บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD ใน PEAK

บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD สามารถบันทึกรายการ ได้ดังนี้ ยกตัวอย่างข้อมูล 1. การบันทึกจ่ายชำระเงิน สำหรับ บันทึกชำระเงินด้วยสินเชื่อ OD สามารถทำการจ่ายชำระเงินโดยเลือกช่องทางการเงิน เป็นช่องทางที่ต้องการใช้สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) ได้เลย ตามภาพตัวอย่างด้านล่าง ยกตัวอย่างเป็น บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 0220112301 ระบุยอดที่ต้องการจ่ายชำระ จำนวน 50,000 บาท ตัวอย่างการบันทึกบัญชี หากเข้าดูในหน้าเมนูการเงิน ช่องทางการชำระเงิน ของบัญชีเงินฝากกระแสรายวัน 0220112301 หรือเข้าดูบัญชีแยกประเภทของผังบัญชีนั้น ระบบจะแสดงจำนวนเงินติดลบ ด้วยยอดเงินที่ได้ใช้จ่ายชำระโดยสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OD) หากมีการจ่ายชำระคืนสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD) สามารถทำการโอนเงินระหว่างกัน เพื่อคืนเงินเข้าบัญชีสินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD) ได้ สามารถดูรายละเอียดได้จากคู่มือ การโอนเงินระหว่างกัน ตัวอย่างหน้ารายการช่องทางการเงิน ตัวอย่างหน้ารายการบัญชีแยกประเภท – จบการบันทึกรับชำระเงินด้วย สินเชื่อเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี(OD)-

6 ส.ค. 2025

PEAK Account

4 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 06/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ Krungsri Statement API ได้แล้ว ดึงรายการเดินบัญชีเข้า PEAK ให้อัตโนมัติทุกวัน ไม่ต้องโหลดไฟล์เองอีกต่อไป 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไปที่ใช้บัญชีธนาคารกรุงศรีฯ (BAY) 🎯Highlight : ช่วยดึงรายการข้อมูลเงินเข้า-ออกอัปเดตให้อัตโนมัติทุกวัน ลดการทำงานแบบ Manual และลดข้อผิดพลาดในการทำข้อมูล ✨ 2. ปรับ Timeline เอกสารโฉมใหม่ อ่านง่ายขึ้น สถานะชัด พร้อมกด Action ได้สะดวกขึ้น 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก 🎯Highlight : ช่วยให้เห็นภาพรวมเอกสารครบจบในหน้าเดียว ประหยัดเวลา ทำงานได้สะดวกขึ้น ✨ 3. แถบ “ล่าสุด” มาแล้ว เข้าดูเอกสารที่สร้างล่าสุด 100 รายการได้ในคลิกเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่สร้างเอกสารเยอะในแต่ละวัน 🎯Highlight : ช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นรายการที่สร้างใหม่ล่าสุด โดยไม่ต้องเสียเวลากรองวันที่หรือค้นหา ช่วยลดเวลาโดยเฉพาะกิจการที่มีการสร้างรายการย้อนหลังนาน ๆ

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

คู่มือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ทำความเข้าใจครบ ลดข้อผิดพลาด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม น่าจะเป็นหนึ่งในประเภทภาษีที่ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะมักมีการเรียกเก็บให้เห็นกันเป็นประจำไม่ว่าจะเป็นเวลาไปทานอาหารในห้าง หรือเข้ารับบริการ ก็จะมีค่าใช้จ่ายตรงส่วนนี้เรียกเก็บเพิ่มขึ้นมาจากค่าใช้จ่ายอยู่ด้วยเสมอ ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร? ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือที่หลายท่านคุ้นกันในชื่อเรียก VAT (Value Added Tax) คือประเภทของภาษีที่เรียกเก็บจากการผลิตสินค้า หรือให้บริการ โดยเป็นการเรียกเก็บทั้งสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งในปัจจุบันมีอัตราการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 7% ที่ผู้ขายหรือผู้ให้บริการจำเป็นต้องเสียทุกครั้งที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำไมต้องมีภาษีมูลค่าเพิ่ม การเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นข้อบังคับทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจมาจนถึงจุดหนึ่ง เมื่อมีรายได้ต่อปี 1.8 ล้านบาทเข้าเงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนด (ยกเว้นกรณีที่ธุรกิจได้รับการยกเว้นภาษี) เมื่อถึงเวลานั้นธุรกิจจำเป็นต้องทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและเรียกเก็บภาษีส่วนนี้เพิ่มเติมทุกครั้งเมื่อมีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ และมีหน้าที่ต้องยื่นแบบภาษีให้ทางกรมสรรพากรทุกเดือน ซึ่งภาษีดังกล่าวที่กรมสรรพากรเรียกเก็บเพื่อเป็นการนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป ธุรกิจต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเมื่อไหร่? ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหลังจากที่ได้มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว โดยทางกรมสรรพากรได้มีการกำหนดเงื่อนไขของธุรกิจที่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไว้คือเมื่อมีรายได้ต่อปีเกิน 1.8 ล้านบาทขึ้นไป ส่วนในกรณีที่เป็นช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือระหว่างการเตรียมการประกอบธุรกิจ มีการซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าข่ายเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นข้อบังคับ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของคุณจะยังไม่เข้าข ข้อข้างต้นก็สามารถดำเนินการยื่นคำร้องขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มได้เช่นกัน และนอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นไม่จำเป็นต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แม้จะเข้าข่ายที่กฎหมายกำหนดก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน หลังจากที่ธุรกิจได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ผู้ประกอบการจำเป็นต้องยื่นแบบภาษี พร้อมชำระภาษีทุกเดือน วิธีการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มเบื้องต้น ในการยื่นแบบและชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการ จะเป็นการคำนวณที่ต้องนำภาษีซื้อ – ภาษีขาย โดยมีสูตรการคำนวณง่าย ๆ ดังนี้ ภาษีขาย – ภาษีซื้อ = จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่ง หรือต้องขอคืน โดยภาษีซื้อที่กล่าวมาคือ ภาษีที่ผู้ประกอบการถูกเรียกเก็บจากการซื้อสินค้าหรือบริการจากธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยสินค้าหรือบริการดังกล่าวต้องมีความเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจด้วย ในส่วนของภาษีขาย คือ ภาษีที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง ซึ่งในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ธุรกิจต้องเสีย หรืออาจมีสิทธิ์ขอคืนได้ ให้แทนในสูตรก่อนหน้านี้ หากภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการต้องนำส่งภาษีมูลเพิ่ม แต่ถ้าภาษีขายน้อยกว่าภาษีซื้อ ผู้ประกอบการสามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มได้ หรือขอเป็นเครดิตภาษีไปใช้ในเดือนถัดไปได้ ยกตัวอย่าง ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 5,000 ภาษีขาย 10,000  10,000 – 5,000 = 5,000  จากตัวอย่างหมายความว่าผู้ประกอบการจำเป็นต้องเสียภาษีเพิ่มเป็นจำนวน 5,000 บาทในเดือนดังกล่าว ยกตัวอย่างภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย แทนสูตรดังนี้ ภาษีซื้อ 10,000 ภาษีขาย 5,000  5,000 – 10,000 = -5,000 ในกรณีนี้ที่ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายผู้ประกอบการจึงสามารถทำเรื่องขอคืนภาษี 5,000 บาทได้ หรือสามารถนำจำนวนดังกล่าวไปใช้เป็นเครดิตภาษีในเดือนถัดไปได้เช่นเดียวกัน ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายภาษีซื้อ ภาษีขายที่เสียหรือเรียกเก็บในแต่ละเดือน ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำเป็นรายงานตามกฎหมายกำหนด ซึ่งต้องจดทุกรายการซื้อและขาย ในส่วนนี้ปัจจุบันก็มีโปรแกรมบัญชีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการทำรายงานได้ง่ายยิ่งขึ้น เอกสารที่เกี่ยวข้องกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ผู้ประกอบการควรรู้จัก สำหรับการดำเนินการต่าง ๆ ด้านภาษีมูลค่าเพิ่มก็มีเอกสารหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งเอกสารที่ใช้สำหรับการยื่นให้กรมสรรพากร และเอกสารที่ใช้สำหรับการส่งให้กับลูกค้าอีกด้วย โดยแบ่งเป็น 2 เอกสารสำคัญได้ดังนี้ ภ.พ. 30 เอกสารฉบับแรกที่จำเป็นต้องใช้คือ ภ.พ. 30 เป็นเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นเพื่อเสียภาษีในแต่ละเดือน โดย ภ.พ. 30 จะเป็นเอกสารสรุปรายการภาษีซื้อ และภาษีขายของธุรกิจในเดือนนั้น ๆ ที่ต้องทำออกมาเพื่อยื่นให้ทางกรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของทุกเดือน ภ.พ. 36 อีกหนึ่งแบบเอกสารสำหรับใช้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มคือ ภ.พ. 36 คือแบบยื่นภาษีที่ผู้ประกอบการที่จ่ายเงินให้กับธุรกิจหรือกิจการที่ไม่ได้ดำเนินการอยู่ในประเทศไทย เช่น การทำโฆษณาออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดียช่องทางต่าง ๆ  ใบกำกับภาษี ถัดมาเป็นส่วนของใบกำกับภาษี ที่ผู้ประกอบการต้องออกให้ลูกค้าทุกครั้งที่มีการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าได้มีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการทำธุรกรรมครั้งนั้นแล้ว โดยในใบกำกับภาษีจะมีข้อมูลของมูลค่าสินค้าหรือบริการ ข้อมูลของผู้ขายและผู้ซื้อ รวมไปถึงจำนวนมูลค่าภาษีที่เสียในครั้งนั้น ในปัจจุบันนิยมออกใบกำกับภาษีแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice) ที่สะดวกรวดเร็วทั้งสำหรับผู้ซื้อและผู้ขายมากกว่าใบกำกับภาษีแบบกระดาษ ข้อควรรู้ในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจไว้ เพราะอาจส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจได้ ถึงแม้จะยังไม่ได้เข้าข่ายเสียภาษีก็ควรคิดวางแผนล่วงหน้าเพื่อเตรียมพร้อมเมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น นอกจากความรู้เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีข้อควรรู้สำหรับผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ยื่นให้ตรงเวลา ตามปฏิทินภาษีอากร การยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่มนับเป็นหนึ่งในข้อกฎหมาย และจำเป็นต้องยื่นให้ตรงเวลาตามกำหนด หากไม่ได้ทำการยื่นตามกำหนดอาจมีบทลงโทษตามมาได้ โดยผู้ประกอบการสามารถยื่นได้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หรือสามารถยึดตามปฏิทินภาษีอากร ในเว็บไซต์ของกรมสรรพากร ทำผ่านระบบออนไลน์ สะดวก และรวดเร็วกว่า การทำระบบภาษีมูลค่าเพิ่มมีเอกสารและขั้นตอนการบันทึกมากมายที่อาจทำให้มีความยุ่งยากพอสมควร การทำผ่านระบบออนไลน์จึงเข้ามาเป็นตัวช่วยที่ทำให้การบันทึกบัญชีไปจนถึงการยื่นเอกสารกลายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการยื่นเอกสารที่ทางกรมสรรพากรเปิดระบบให้สามารถยื่นออนไลน์ได้ ทำให้การมีโปรแกรมบัญชีที่ตอบโจทย์ในเรื่องภาษีเป็นส่วนช่วยสำคัญให้ผู้ประกอบการสามารถจัดการด้านบัญชีได้เป็นระบบมากขึ้น พร้อมโฟกัสกับการพัฒนาธุรกิจอย่างเต็มที่ ใช้โปรแกรมบัญชี เพื่อการทำภาษีที่ง่ายยิ่งขึ้น โปรแกรมบัญชีเข้ามามีส่วนช่วยสำคัญอย่างมากในการยื่นภาษี ไม่เพียงเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่มเท่านั้น แต่รวมไปถึงการจัดระบบโดยรวมของการทำบัญชีในองค์กรให้เป็นระบบ ลดขั้นตอนความยุ่งยากต่าง ๆ ที่มาพร้อมกับกองเอกสารมหึมา ซึ่งโปรแกรมบัญชีครบวงจรอย่าง PEAK Account ก็มาพร้อมฟีเจอร์ตอบโจทย์การทำงานด้านบัญชีและการทำรายงานภาษี แถมยังใช้งานง่าย มีคู่มือให้ใช้เวลาเรียนรู้ไม่นาน พร้อมปรับใช้ในองค์กรได้ทันที ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

12 min

ใบเสร็จรับเงิน เอกสารสำคัญที่ต้องออกให้ลูกค้า

เวลาซื้อของหรือทานข้าวตามร้านในห้าง หรือร้านสะดวกซื้อ มักจะได้รับ ใบเสร็จรับเงิน อยู่เสมอไม่ว่าเราจะได้ขอจากพนักงานหรือไม่ ซึ่งใบเสร็จก็เป็นเอกสารสำคัญที่ต้องมีการออกให้ลูกค้าเสมอ และในฐานะผู้ประกอบการก็จำเป็นที่จะต้องรู้จัก และสามารถออกเอกสารนี้ได้อย่างถูกต้องให้แก่ลูกค้า ไม่ว่าจะทำธุรกิจขายสินค้าหรือบริการก็จำเป็น ในบทความนี้เราจึงจะมาแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับใบเสร็จมากขึ้น พร้อมแล้วมาติดตามกันเลย ใบเสร็จ (Receipt) คืออะไร? ใบเสร็จ หรือ Receipt คือ เอกสารที่ออกเพื่อเป็นหลักฐาน และเป็นการยืนยันว่าผู้ขายได้รับเงินจากผู้ซื้อเรียบร้อยแล้ว โดยจะเป็นเอกสารที่ผู้ขายต้องออกให้ผู้ซื้อทุกครั้งเมื่อมีการรับเงินที่มีมูลค่ามากกว่า 100 บาทขึ้นไป ไม่ว่าลูกค้าจะขอใบเสร็จหรือไม่ ใบเสร็จมีกี่รูปแบบ อะไรบ้าง? ถึงแม้ว่าการซื้อขายจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่มีการจ่ายเงินล่วงหน้าไปเรียบร้อยแล้วก็จะเป็นต้องออกใบเสร็จให้แก่ผู้จ่ายเงินด้วยเช่นกัน  ทั้งนี้ธุรกิจที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และธุรกิจที่ยังไม่ได้จดจะออกใบเสร็จที่แตกต่างกันเล็กน้อย โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ 1. ใบเสร็จรับเงินทั่วไป สำหรับธุรกิจที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถออกเป็นรูปแบบใบเสร็จรับเงินธรรมดาที่มีข้อมูลของสินค้าหรือบริการ และรายละเอียดทั่วไปได้ 2. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ถัดมาเป็นใบเสร็จที่มักพบในชีวิตประจำวันจะเป็น ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ซึ่งก็คือใบเสร็จกระดาษใบเล็กที่จะได้รับหลังชำระเงินให้ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านอาหารนั่นเอง โดยข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ จะระบุข้อมูลที่อยู่ของผู้ขาย ข้อมูลสินค้าหรือบริการ และราคาไว้ แต่จะไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการที่สามารถออกใบเสร็จประเภทนี้ได้ต้องเป็นผู้ที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว และเป็นธุรกิจประเภทค้าปลีกและค้าขายกับลูกค้ารายย่อย ที่อาจมีจำนวนการซื้อขายต่อวันหลายครั้ง และลูกค้าไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ใบเสร็จรับเงินในการดำเนินการด้านเอกสาร 3. ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ทั้งนี้สำหรับผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจแบบ B2B (Business to Business) รูปแบบของใบเสร็จที่ออกอาจมีความแตกต่างออกไปเป็นรูปแบบ ใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป โดยจะเป็นรูปแบบที่มีข้อมูลละเอียดมากกว่าใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ มีการระบุข้อมูลของผู้ซื้อ ซึ่งธุรกิจที่ออกใบเสร็จประเภทนี้ก็จะเป็นต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเรียบร้อยแล้วเช่นกัน และโดยส่วนใหญ่จะออกให้กับลูกค้าที่เป็นกิจการ เพราะมักจะต้องใช้เอกสารนี้ในการดำเนินการด้านบัญชีต่อไป นอกจากประเภทของใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบที่เราได้ยกตัวอย่างมา ยังมีรูปแบบบิลเงินสดที่มีรายละเอียดน้อยมากที่สุด มักใช้กันในร้านขายของชำ ร้านขายของทั่วไป เขียนรายละเอียดด้วยมือ ซึ่งเป็นรูปแบบใบเสร็จที่มีความน่าเชื่อถือน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับรูปแบบอื่น โดยสรุปแล้วสำหรับผู้ประกอบการ ขึ้นอยู่กับว่าดำเนินธุรกิจประเภทไหนอยู่ หากทำธุรกิจที่เน้นการซื้อขายกับผู้ประกอบการด้วยกันเป็นหลักก็อาจมีโอกาสได้ใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีเต็มรูปมากกว่า แต่ถ้าทำธุรกิจค้าปลีก ขายให้ลูกค้ารายย่อยเป็นหลักก็จะใช้ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีอย่างย่อบ่อยกว่านั่นเอง ทั้งนี้ควรมีระบบโปรแกรมบัญชีที่สามารถออกเอกสารได้ครบทุกรูปแบบจะดีมากที่สุด ข้อมูลที่ต้องมีบนใบเสร็จ สำหรับใบเสร็จทั้ง 3 รูปแบบนั้นมีข้อมูลที่ต้องระบุค่อนข้างใกล้เคียงกันต่างกันเพียงเล็กน้อยตามความละเอียดของแต่ละประเภท ซึ่งทั้ง 3 แบบมีข้อมูลสำคัญที่ต้องระบุดังนี้ 1. ข้อมูลในใบเสร็จรับเงินทั่วไป 2. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป 3. ข้อมูลในใบเสร็จ/ใบกำกับภาษีอย่างย่อ ใบเสร็จออกในกรณีไหนได้บ้าง โดยปกติใบเสร็จจะต้องออกทุกครั้งเมื่อ ได้รับเงินครบ ก็สามารถออกเอกสารฉบับนี้ออกมาเพื่อยืนยันเป็นหลักฐานการรับเงินได้เลย เพราะหากทำการซื้อขายเสร็จแล้ว แต่ทางผู้ขายไม่ออกเอกสารใบเสร็จรับเงินให้เรียบร้อยหลังจากที่ได้รับเงินแล้ว อาจมีบทลงโทษปรับเงินไม่เกิน 500 บาท จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ ออกใบเสร็จอย่างไรให้ง่าย สะดวก รวดเร็ว ซึ่งการออกใบเสร็จเป็นขั้นตอนที่ธุรกิจที่มีการซื้อขายหลายครั้งในแต่ละเดือนจำเป็นต้องทำเป็นประจำ ซึ่งมาพร้อมกองเอกสารมากมายที่ต้องเก็บไว้เพื่อเป็นหลักฐาน จากในอดีตที่ออกใบเสร็จกันด้วยวิธีการเขียนมือทุกรายการ ทำให้มีความยุ่งยากและเสียเวลา ทั้งยังมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดสูง ไปจนถึงการต้องเตรียมพื้นที่สำหรับการจัดเก็บเอกสาร ในปัจจุบันจึงหันมานิยมใช้รูปแบบการพิมพ์ใบเสร็จผ่านโปรแกรมหน้าร้าน เช่น ระบบ POS ที่สามารถพิมพ์ใบเสร็จให้ลูกค้าเมื่อมีการจ่ายเงินได้ทันที ไม่จำเป็นต้องนั่งเขียนทีละรายการ นอกจากนี้ในกรณีที่พิมพ์ใบเสร็จแบบใบกำกับภาษีก็มีโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่เข้ามารองรับการใช้งานในส่วนนี้ ทำให้คุณสามารถพิมพ์เอกสารได้ง่ายขึ้น แถมบันทึกให้อัตโนมัติในระบบ สามารถเรียกดูได้ไม่ต้องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษ ที่สำคัญคือส่งให้ลูกค้าได้ง่ายผ่านรูปแบบไฟล์ได้เลย พื้นฐานของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักมาพร้อมกับระบบภายในที่จัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระเบียบ การปรับใช้เทคโนโลยีหรือโปรแกรมเหล่านี้ก็สามารถช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ตัวช่วยสร้างระบบที่ดีในองค์กร โปรแกรมบัญชี PEAK มาพร้อมระบบการจัดการด้านบัญชีอย่างครบวงจรเพื่อธุรกิจทุกขนาด ให้การทำงานเป็นระบบ ลดขั้นตอนอันยุ่งยาก และเพิ่ม Productivity ของพนักงาน เพื่อความสำเร็จขององค์กรในระยะยาว โดยโปรแกรม PEAK สามารถจัดทำใบเสร็จได้ทุกรูปแบบ รวมไปถึงการพิมพ์ใบเสนอราคา หรือใบแจ้งหนี้ที่มักใช้ในขั้นตอนการซื้อขายเช่นกัน ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบ POS ที่ใช้ในการบริหารจัดการหน้าร้านได้อีกด้วย เริ่มต้นใช้วันนี้เพื่อการเติบโตขององค์กรในอนาคต ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

26 ส.ค. 2025

PEAK Account

11 min

ใบแจ้งหนี้ (Invoice) เอกสารสำคัญเอกสารสำคัญในขั้นตอนการซื้อขาย

ใบแจ้งหนี้ Invoice คือ? ใบแจ้งหนี้ หรือ Invoice คือ เอกสารทางบัญชีที่ผู้ขายสินค้าหรือบริการออกให้กับผู้ซื้อหลังจากที่มีการซื้อขายสินค้า/บริการเสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ออกเพื่อแจ้งหนี้หรือยอดชำระให้ผู้ซื้อทราบอีกครั้ง โดยใบแจ้งหนี้ส่วนใหญ่จะมีช่วงเวลาการจ่ายเงินกำหนดไว้อย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องจ่ายในทันทีที่ออกเอกสาร เอกสารประเภทนี้จึงมักใช้ร่วมกับการซื้อขายในรูปแบบ Business to Business (B2B) ที่แต่ละบริษัทมักจะมีกำหนดรอบวันจ่ายเงินที่ชัดเจนอยู่แล้วนั่นเอง ใครเป็นคนออกใบแจ้งหนี้ Invoice? ผู้ขายสินค้า/บริการ มีหน้าที่ต้องออกใบแจ้งหนี้ให้แก่ผู้ซื้อ โดยส่วนใหญ่จะเป็นหน้าที่ของพนักงานฝ่ายบัญชีในการออกเอกสารและประสานงานกับบริษัทที่ทำการซื้อขายด้วยกัน แต่ถ้าในธุรกิจยังมีพนักงานจำนวนไม่เยอะ ผู้ประกอบการก็สามารถออกเอกสารได้ด้วยการใช้โปรแกรมบัญชีที่จะมีเทมเพลตเอกสารใบแจ้งหนี้ให้อย่างเรียบร้อยครบถ้วน เพราะใบแจ้งหนี้ Invoice คือหนึ่งในเอกสารพื้นฐานที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจประเภท B2B เลยก็ว่าได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice ต้องมีข้อมูลอะไรบ้าง? ใบแจ้งหนี้ Invoices คือเอกสารที่อยู่ในขั้นตอนการซื้อขายสินค้าหรือบริการ เช่นเดียวกับ ใบเสนอราคา Quotation แต่จะเป็นเอกสารที่ออกให้หลังจากซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว อย่างไรก็ตามข้อมูลในใบแจ้งหนี้กับใบเสนอราคาจะค่อนข้างใกล้เคียงกัน โดยระบุข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับการซื้อขายในครั้งดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นข้อมูลผู้ซื้อ ผู้ขาย รายละเอียดสินค้า/บริการ ยอดชำระรวม และส่วนท้ายสำหรับลงลายมือชื่อทั้งสองฝั่ง ซึ่งข้อมูลจำเป็นสามารถแบ่งได้เป็น 3 ส่วนดังนี้ 1. ส่วนหัวกระดาษ ส่วนแรกด้านบนสุดของใบแจ้งหนี้ จะเป็นการระบุข้อมูลทั่วไปของผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมระบุ ‘ใบแจ้งนี้ Invoice’ ให้ชัดเจนเพื่อให้ทราบว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารอะไร 2. รายละเอียดการซื้อขาย ถัดมาต่อจากส่วนหัวกระดาษที่เราได้ลงรายละเอียดของผู้ซื้อและผู้ขายไว้สำหรับเป็นข้อมูลแล้ว ต่อมาจะเป็นส่วนของรายละเอียดของสินค้าหรือบริการที่ได้ทำการซื้อขายของใบแจ้งหนี้นี้ โดยในส่วนของข้อมูลจะต้องระบุให้ละเอียดครบถ้วน พร้อมชี้แจงราคาของแต่ละส่วนอย่างชัดเจน  ทั้งนี้ในการทำธุรกิจที่เป็นการให้บริการอาจมีการจำแนกที่ค่อนข้างต่างจากการขายสินค้าแบบทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ขายให้บริการด้านการทำการตลาดวางแผนกลยุทธิ์ และทำโฆษณาออนไลน์ ที่ซึ่งมักจะมีรายละเอียดค่อนข้างยิบย่อยกว่าการซื้อขายทั่วไป ในส่วนของรายละเอียดอาจจำแนกแต่ละค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนดังนี้ ซึ่งรายละเอียดส่วนนี้จะต้องพูดคุยกันให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนเริ่มบริการ เพื่อให้เข้าใจตรงกันและลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้น 3. ส่วนท้ายของเอกสาร มาถึงส่วนสุดท้ายในใบเสนอราคา Invoices คือส่วนที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นส่วนสำหรับการเซ็นต์เอกสารของทั้งสองฝ่ายที่จะทำให้เอกสารฉบับดังกล่าวสามารถนำไปใช้ได้จริงตามกฎหมายนั่นเอง โดยส่วนนี้จะประกอบไปด้วย ต้องออกใบแจ้งหนี้ Invoice เมื่อไหร่? สามารถออกเอกสารใบแจ้งหนี้ Invoice ได้ทันทีหลังจากที่ซื้อขาย หรือให้บริการเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตามหากมีการตกลงรอบการจ่ายเงินไว้ก่อนหน้านี้ก็สามารถออกเอกสารให้ลูกค้าตามรอบที่กำหนดได้  วิธีการออกใบแจ้งหนี้ Invoice ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารใช้กันมานาน ในอดีตจะเป็นในรูปแบบของกระดาษคาร์บอนที่จะมีช่องสำหรับกรอกรายละเอียดอย่างครบถ้วน แต่ในปัจจุบันก็ได้รับความนิยมน้อยลงเพราะสามารถออกเอกสารแบบออนไลน์ผ่านโปรแกรมบัญชีได้ ซึ่งโปรแกรมเหล่านี้มาพร้อมเทมเพลตใบแจ้งหนี้ สามารถออกเอกสารได้ง่าย และสามารถเก็บเอกสารได้ง่ายกว่าฉบับจริงเช่นเดียวกัน และส่วนใหญ่ทุกวันนี้ก็มักส่งเอกสารกันผ่านช่องทางออนไลน์ทำให้รูปแบบนี้สะดวก รวดเร็ว ลดขั้นตอนยุ่งยากลงไปได้ ใบแจ้งหนี้ Invoice, ใบวางบิล Billing, และใบเสร็จรับเงิน Receipt แตกต่างกันอย่างไรในธุรกิจ? หากไม่นับใบเสนอราคา ยังมีเอกสารอื่น ๆ ที่ใกล้เคียงกับใบแจ้งหนี้และผู้ประกอบการหลายท่านมักสับสนว่าต้องออกเอกสารฉบับไหนให้ลูกค้าถึงจะถูกต้อง ในส่วนนี้เรามาแนะนำเอกสารอื่น ๆ อย่าง ใบวางบิล และใบเสร็จรับเงินให้รู้จักกันคร่าว ๆ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างกัน ใบวางบิล Billing ใบวางบิล หรือ Billing เป็นเอกสารด้านบัญชีหนึ่งรูปแบบที่สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของผู้ใช้ เช่น สามารถใช้ใบวางบิลแทนใบแจ้งหนี้ หรือหากกิจการของเรามีการขายสินค้าให้ลูกค้าหลายครั้งในแต่ละเดือน สามารถออกใบวางบิลเพื่อรวมยอดจากใบแจ้งหนี้เพื่อเก็บเงินครั้งเดียวได้ นับเป็บการรวมยอดส่งเอกสารเรียกเก็บเงินจากลูกค้าทีเดียวนั้นเอง ใบเสร็จรับเงิน Receipt ในส่วนของ ใบเสร็จรับเงิน หรือ Receipt เป็นเอกสารที่ออกโดยผู้รับเงิน ซึ่งก็คือผู้ขายสินค้า/บริการนั่นเอง โดยจะเป็นการออกให้กับผู้ชำระเงินหลังจากที่ขั้นตอนการชำระเงินเสร็จสิ้น ได้รับเงินครบถ้วนเรียบร้อยตามใบแจ้งหนี้หรือใบวางบิล ซึ่งข้อมูลภายในเอกสารก็จะมีความใกล้เคียงกัน จากรายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่าเอกสารแต่ละรูปแบบนั้นมีโครงสร้างข้อมูลที่ใกล้เคียงกัน ต่างกันที่จุดประสงค์ในการออกเอกสาร หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่แต่ละเอกสารนั้นต่างกันออกไปนั่นเอง เพื่อความถูกต้องแนะนำให้ผู้ประกอบการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับเอกสารเหล่านี้ให้ครบถ้วน ออกใบแจ้งนี้ง่าย ๆ ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ ใบแจ้งหนี้ คือ เอกสารที่สามารถออกได้ด้วยโปรแกรมบัญชีออนไลน์ที่ เพราะนับว่าเป็นหนึ่งในเอกสารทางธุรกิจจำเป็นต้องออกบ่อย โปรแกรมที่ดีจึงมักมาพร้อมเทมเพลตและรูปแบบการใช้งานที่สามารถทำได้ง่าย ช่วยให้การออกเอกสารกลายเป็นเรื่องง่าย ซึ่ง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ก็มาพร้อมฟีเจอร์ที่ครบถ้วน ไม่จำเป็นต้องเป็นนักบัญชีก็สามารถออกเอกสารได้ง่าย ๆ ผู้ประกอบการสามารถทำได้ด้วยตัวเอง นอกจากนี้ยังสามารถออกเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น ใบเสนอราคา ใบวางบิล ใบเสร็จ รวมไปถึงใบแจ้งหนี้/ใบกำกับภาษีได้อีกด้วย ทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์อื่น ๆ มากมายที่จำเป็นเกี่ยวกับการจัดการบัญชีอย่างเป็นระบบ อันเป็นพื้นฐานสำคัญของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ!  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

2 min

Update Function PEAK 20/08/2025

PEAK with the new function designed to enhance efficiency. ✨ 1. Connect to TikTok Shop API! Manage orders more conveniently for online stores 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who sell products via TikTok Shop and need e-commerce API integration. 🎯 Highlight: The system now supports API connection with TikTok Shop, enabling automatic recording of sales revenue from online stores. No need to enter data manually each time, reducing work steps and making document creation more convenient. ✨ 2. Updated Cash In–Cash Out Dashboard in the Finance menu, easier to view details 🧑‍💼 Suitable for: All users who want to monitor cash inflows and outflows quickly and in detail. 🎯 Highlight: Users can click to view detailed Cash In–Cash Out Dashboard data instantly. The sources of various amounts are clearly displayed, with information pulled directly from payment receipts on documents. Results are shown in an easy-to-read calendar format, with direct links to original documents for precise verification. ✨ 3. Support importing Statement files from TTB Business One for bank reconciliation 🧑‍💼 Suitable for: Accountants who need to perform bank reconciliation using TTB (TMBThanachart) Statement files. 🎯 Highlight: The system supports importing TTB Business One files in both Excel and PDF (EN version) for bank reconciliation functions, making work faster, more convenient, and more accurate. ✨ 4. Improved document import page: edit VAT and price types in one go 🧑‍💼 Suitable for: PRO Plus package users and above who use the document import function and need to manage large data efficiently.🎯 Highlight: When importing documents, whether from PEAK templates or other platforms, users can select the VAT type and rate for all items at once. This makes bulk data editing more convenient, saves time, and reduces errors. ✨ 5. Updated accounting entries for IR and GR 🧑‍💼 Suitable for: PREMIUM package users who use IR/GR documents and review input tax 🎯 Highlight: The system has revised the accounting entries by moving the “input tax not yet due” from Goods Receipt (GR) to Invoice Receipt (IR). The GR document now only records goods and expenses, ensuring accounting accuracy and aligning with actual tax documents. 📌 Note:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

5 min

อัปเดตฟังก์ชัน PEAK 20/08/2025

เอาใจผู้ใช้งานโปรแกรม PEAK ด้วยฟังก์ชันใหม่ที่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✨ 1. เชื่อมต่อ API TikTok Shop ได้แล้ว! จัดการออเดอร์สะดวกขึ้นสำหรับร้านค้าออนไลน์ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ขายสินค้าผ่าน TikTok Shop และต้องการ API e-commerce🎯Highlight : ระบบเพิ่มการเชื่อมต่อกับ API กับ TikTok Shop ช่วยให้การบันทึกรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ทำได้อัตโนมัติ ไม่ต้องกรอกเองทุกครั้ง ลดขั้นตอนการทำงาน และสร้างเอกสารได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม ✨ 2. อัปเดต Dashboard เงินเข้า-เงินออกที่เมนูการเงิน คลิกดูรายละเอียดได้สะดวกกว่าเดิม 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานทุกกิจการที่ต้องการตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกอย่างละเอียดและรวดเร็ว🎯Highlight : ผู้ใช้งานสามารถคลิกดูรายละเอียดหน้า Dashboard เงินเข้า–ออกจากได้ทันที เห็นที่มาของยอดต่าง ๆ ชัดเจน ข้อมูลดึงตรงจากการรับ/จ่ายชำระเงินหน้าเอกสาร พร้อมแสดงผลในปฏิทินแบบเข้าใจง่าย และมีปุ่มลิงก์ไปยังเอกสารต้นทางเพื่อให้ตรวจสอบได้อย่างแม่นยำ ✨ 3. รองรับนำเข้าไฟล์ Statement จาก TTB Business One เพื่อกระทบยอดธนาคารได้แล้ว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : นักบัญชีที่ต้องการกระทบยอดธนาคารโดยใช้งานไฟล์ Statement ของธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB)🎯Highlight : ระบบรองรับการนำเข้าไฟล์ TTB Business One ทั้งแบบ Excel และ PDF (เวอร์ชัน EN) เพื่อใช้งานฟังก์ชันกระทบยอดธนาคาร ช่วยให้การทำงานสะดวก รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ✨ 4. ปรับปรุงหน้านำเข้าเอกสาร แก้ไข VAT และประเภทราคาได้ในครั้งเดียว 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใข้งานแพ็กเกจ PRO Plus ขึ้นไป ที่ใช้งานฟังก์ชันนำเข้าเอกสาร (Import) และต้องการจัดการข้อมูลจำนวนมากได้รวดเร็วขึ้น🎯Highlight : เมื่อมีการนำเข้าเอกสาร ไม่ว่าจะเป็นจากเทมเพลตของ PEAK หรือจากแพลตฟอร์มอื่นๆ และต้องการแก้ไขข้อมูลภาษีทุกรายการพร้อมกัน ผู้ใช้งานสามารถเลือกประเภทภาษีและอัตรา VAT ที่ต้องการได้ทันที ทำให้การแก้ไขข้อมูลนำเข้าจำนวนมากในครั้งเดียวสะดวกขึ้น ประหยัดเวลา และลดความผิดพลาดในการทำงาน ✨ 5. ปรับการบันทึกบัญชี IR และ GR ใหม่ 🧑‍💼เหมาะสำหรับ : ผู้ใช้งานแพ็กเกจ PREMIUM ที่ใช้เอกสาร IR/GR และตรวจสอบภาษีซื้อ 🎯Highlight : ระบบได้ปรับรูปแบบการบันทึกบัญชีใหม่ โดยย้ายการบันทึก “ภาษีซื้อยังไม่ถึงกำหนด” จากเอกสารรับสินค้า (GR) ไปอยู่ในเอกสารรับใบแจ้งหนี้ (IR) แทน ซึ่งเอกสาร GR จะบันทึกเฉพาะสินค้าและค่าใช้จ่ายเท่านั้น เพิ่มความถูกต้องตามหลักบัญชี ทำให้การบันทึกบัญชีชัดเจนขึ้นและตรงกับเอกสารภาษีจริง 📌หมายเหตุ:

20 ส.ค. 2025

PEAK Account

13 min

ระเบียบการแข่งขัน PEAK Digital Accounting Championship 2025

ไฟล์ระเบียบการแข่งขัน โครงการค้นหา “สุดยอดว่าที่นักบัญชี” แห่งยุคดิจิทัล ครั้งที่ 2 ประจำปี 2568วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น.ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 1. วัตถุประสงค์ 1.1 เพื่อสร้างเวทีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ได้แสดงความสามารถ และทดสอบความรู้การใช้งานโปรแกรมบัญชีออนไลน์1.2 เพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา ทบทวน และเพิ่มพูนความรู้ด้านการบัญชี1.3 ส่งเสริมการทํางานร่วมกันเป็นทีม และเสริมสร้างความสามัคคีให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา1.4 มอบโอกาสให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา เข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อนจากสถาบันอื่น 2. คุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน 2.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หรือระดับปริญญาตรี โดยต้องมีสถานภาพเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ณ วันสมัครเข้าร่วมการแข่งขัน2.2 สมาชิกทีมละ 2 คน อายุไม่เกิน 25 ปี และศึกษาอยู่สถาบันเดียวกัน 3. ขอบเขตเนื้อหาการแข่งขัน 3.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับบัญชี และภาษี3.2 การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์3.3 การวิเคราะห์ และประยุกต์การใช้งาน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ตามประเภทของธุรกิจ 4. การรับสมัคร 4.1 เปิดรับสมัครตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 25684.2 ทีมผู้เข้าแข่งขันสามารถสมัครผ่านระบบออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ เท่านั้น4.3 ปิดรับสมัครการแข่งขันวันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2568 ภายในเวลา 23.59 น.4.4 ประกาศผลผู้มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในรอบคัดเลือกในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2568 ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com4.5 ผู้เข้าแข่งขันสามารถทำแบบทดสอบรอบคัดเลือกได้โดยจะได้รับลิงก์เข้าสู่ระบบทดสอบ Flexiquiz ผ่านช่องทางอีเมล และจะสามารถเข้าทำแบบทดสอบได้ในวันอังคารที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2568 โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 4.5.1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องทำแบบทดสอบผ่านระบบที่กำหนดเท่านั้น4.5.2 ผู้เข้าแข่งขันแต่ละทีมจะต้องทำแบบทดสอบภายในระยะเวลาที่กำหนดเท่านั้น4.5.3 แต่ละทีมสามารถทำแบบทดสอบได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น หากมีการส่งผลทดสอบ มากกว่า 1 ครั้ง ทางคณะกรรมการจะพิจารณาจากการส่งผลทดสอบครั้งแรกเท่านั้น 4.6 คณะกรรมการจะประกาศรายชื่อทีมที่ผ่านการคัดเลือกจํานวน 50 ทีม เพื่อแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผ่านทางเว็บไซต์ อีเมลผู้เข้าแข่งขัน และเฟสบุ๊คแฟนเพจ PEAK – โปรแกรมบัญชีออนไลน์ PEAKaccount.com ในวันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 25684.7 กรณีสถาบันการศึกษาสมัครเข้าร่วมมากกว่า 3 ทีม ทางคณะกรรมการขอสงวนสิทธิ์ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศสูงสุด 3 ทีมต่อสถาบันศึกษา โดยคัดเลือกจากผลการทดสอบรอบคัดเลือกหมายเหตุ: หากทีมใดไม่ปฏิบัติตามข้อกําหนดข้างต้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 5. วัน เวลา และสถานที่จัดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ทีมที่ได้รับคัดเลือกทั้ง 50 ทีม ต้องเข้าร่วมแข่งขันรอบชิงชนะเลิศวันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 เวลา 08.00 – 17.00 น. ณ อาคารอาทิตย์ อุไรรัตน์ ชั้น 3 ห้อง 301 มหาวิทยาลัยรังสิต 6. กำหนดการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 08.00 – 08.30 น. ลงทะเบียนรายงานตัวเข้าแข่งขัน08.30 – 09.00 น. พิธีเปิดการแข่งขัน09.00 – 12.30 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 1-212.30 – 13.30 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน13.30 – 15.00 น. การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ส่วนที่ 315.00 – 16.00 น. กิจกรรมให้ความรู้จากวิทยากรพิเศษ16.00 – 17.00 น. ประกาศผลการแข่งขัน พิธีมอบรางวัล และกล่าวปิดงาน หมายเหตุ : ไม่มีบริการอาหารกลางวันให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน อาจารย์ที่ปรึกษา และผู้ติดตาม ผู้เข้าสอบต้องนั่งประจำที่สอบ ก่อนเวลาสอบ อย่างน้อย 10 นาที 7. รูปแบบและเกณฑ์การพิจารณาในการตัดสินผลการแข่งขัน การแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบคัดเลือก และรอบชิงชนะเลิศ โดยแต่ละรอบมีเกณฑ์ และรายละเอียด ดังนี้ 7.1  รอบคัดเลือก เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ รวม 20 คะแนน โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาที โดยมีเกณฑ์การพิจารณารอบคัดเลือก ดังนี้ 7.2  รอบชิงชนะเลิศ รอบชิงชนะเลิศประกอบด้วยการสอบ 3 ส่วน ผลรวม 80 คะแนน โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์โครงสร้างธุรกิจ (20 คะแนน)เป็นการตอบคําถามรูปแบบปรนัย และอัตนัยผ่านระบบออนไลน์ โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 30 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์กิจกรรมหลักของธุรกิจจำลอง ความสัมพันธ์ของโครงสร้างทางการเงิน การสรุปประเด็นสำคัญ ส่วนที่ 2 การใช้งานโปรแกรม PEAK และเครื่องมืออื่นในงานบัญขี (40 คะแนน)เป็นการบันทึกบัญชีตามโจทย์ที่กําหนดให้ พร้อมนําข้อมูลทางบัญชีมาวิเคราะห์ และตอบคําถาม โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย การบันทึกรายการบัญชีในระบบ PEAK การใช้เครื่องมือเพื่อช่วยในงานบัญชี เช่น AI, Excel การจัดทำรายงานสรุปข้อมูลบัญชี และภาษี ส่วนที่ 3 การวิเคราะห์ข้อมูล (20 คะแนน)เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทําข้อสอบส่วนที่ 2 โดยใช้ระยะเวลาในการสอบ 60 นาทีเนื้อหาประกอบด้วย วิเคราะห์งบการเงิน และอัตราส่วนทางการเงิน วิเคราะห์แนวโน้มจากข้อมูลบัญชี เช่น รายได้เพิ่มขึ้น/ลดลง, ต้นทุนสูงผิดปกติ, ลูกหนี้เกินกำหนด ฯลฯ เสนอแนวทางแก้ไข หรือพัฒนาธุรกิจ การนำเสนอความคิดเห็นเข้าใจง่าย และตรงประเด็น 8. ข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ 8.1 ผู้เข้าแข่งขันต้องนําโน้ตบุ๊กมาจํานวน 1 เครื่อง ต่อ 1 ทีม โดยทางบริษัทจะจัดเตรียมปลั๊กชาร์จไฟสําหรับโน้ตบุ๊ก และ Wifi ให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.2 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต้องแต่งกายด้วยชุดนักเรียน นิสิต นักศึกษา ของสถาบัน8.3 ผู้เข้าแข่งขันทุกคนในทีมต้องรายงานตัวพร้อมกัน และแสดงบัตรประจําตัวนักเรียน นิสิต นักศึกษา หรือบัตรประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ ภายในเวลาลงทะเบียน มิฉะนั้นจะถือว่าสละสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขัน8.4 ห้ามผู้เข้าแข่งขันนําเครื่องเขียน เครื่องมือสื่อสาร เครื่องคํานวณ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ รวมถึงนาฬิกา Smart Watch เข้าแข่งขัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่จะมีการจัดเตรียมเครื่องเขียน และกระดาษทดให้แก่ผู้เข้าแข่งขัน8.5 ห้ามผู้เข้าแข่งขันยืมอุปกรณ์ใด ๆ จากผู้เข้าแข่งขันทีมอื่นขณะแข่งขัน8.6 ห้ามผู้เข้าแข่งขันกระทําการใด ๆ ที่ทุจริต หรือส่อเจตนาทุจริต8.7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีอาการไข้ไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก หรือผลการตรวจ ATK เป็นบวก จะไม่สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้ แต่สามารถแข่งขันด้วยจํานวนสมาชิกที่เหลือได้ หมายเหตุ : หากฝ่าฝืนข้อปฏิบัติในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ คณะกรรมการจัดการแข่งขันจะตัดสิทธิ์จากการแข่งขัน ทั้งนี้คําตัดสินของคณะกรรมการจัดการแข่งขันถือเป็นที่สิ้นสุด 9. รางวัลการแข่งขัน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ระดับปริญญาตรี รางวัลชนะเลิศ : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 15,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 1 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 8,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ 2 : โล่รางวัล เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 5,000 บาท จำนวน 1 รางวัล รางวัลชมเชย : เกียรติบัตร และเงินรางวัล มูลค่า 2,000 บาท จํานวน 2 รางวัล ทั้งนี้สมาชิกของทีมที่เข้ารอบชิงชนะเลิศทั้ง 50 ทีม จะได้รับเกียรติบัตรโดย PEAK 10. ผู้รับผิดชอบโครงการ บริษัท พี ยู ยู เอ็น อินเทลลิเจนท์ จำกัด