PEAK Account

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Paperless ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร การทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบ Paperless จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบ Paperless มีอะไรบ้าง การทำงานแบบ Paperless ต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้การจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล ซึ่งจะมีเครื่องมืออะไรบ้างไปดูกัน โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Paperless โดยระบบจะช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และรายงานทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล พร้อมระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยและค้นหาง่าย ลดการพิมพ์เอกสารและประหยัดทรัพยากร สแกนเนอร์ที่ใช้แปลงเอกสารให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ดิจิทัล โดยเฉพาะสแกนเนอร์ที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่สามารถแปลงตัวอักษรในเอกสารให้เป็นข้อความที่แก้ไขได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อในโปรแกรมต่าง ๆ ได้ การเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การอนุมัติและลงนามในเอกสารทำได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องพิมพ์เอกสารเพื่อลงนามและสแกนกลับ ระบบจะมีการเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้ Cloud Storage ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ช่วยให้เข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง เหมาะสำหรับการจัดเก็บเอกสารสำคัญขององค์กร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับโปรแกรมบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ทำให้การเข้าถึงและแชร์เอกสารทำได้ง่าย Backup Storage ระบบสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของระบบ Paperless เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและจัดเก็บในหลายที่ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ระบบ Knowledge Management ระบบจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแชร์ความรู้ภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ง่าย เช่น คู่มือการทำงาน แนวทางปฏิบัติ และเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ช่วยลดการพิมพ์เอกสารและทำให้การเรียนรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

แจกขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 พร้อมลิสต์เอกสารที่ต้องใช้

ใกล้ถึงเวลายื่นภาษีประจำปีแล้ว หลายคนอาจกังวลเรื่องการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการยื่นภาษี โดยเฉพาะการยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ที่แม้จะสะดวกกว่าการเดินทางไปสรรพากร แต่ก็มีข้อมูลที่เราต้องรอบคอบก่อนทำการยื่นภาษีอยู่ด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะทำการยื่นภาษีออนไลน์กันนั้น เราไปรายละเอียดของดูเอกสาร ขั้นตอน และข้อควรระวังต่าง ๆ กัน การยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คืออะไร การยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เป็นช่องทางที่กรมสรรพากรทำให้การยื่นภาษีสะดวกมากขึ้น โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเดินทางไปสำนักงานสรรพากร ระบบจะช่วยคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาด และยังสามารถบันทึกข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงในปีถัดไปได้ นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดทรัพยากรและลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ผู้มีหน้าที่ยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คือผู้ที่มีรายได้จากการจ้างแรงงานเพียงประเภทเดียว โดยแบ่งเป็นสองกรณี คือ กรณีโสดที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี และกรณีสมรสที่มีรายได้รวมกันเกิน 220,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการทำงานให้นายจ้างเท่านั้น ไม่รวมรายได้จากแหล่งอื่น เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ก่อนเริ่มยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เราควรเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการกรอกข้อมูลและป้องกันความผิดพลาด โดยเอกสารจะแตกต่างกันระหว่างผู้ที่มีสถานะโสดและสมรส มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง คนโสด สำหรับผู้มีสถานะโสด เอกสารหลักที่ต้องเตรียมคือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากนายจ้าง ซึ่งแสดงรายได้และภาษีที่ถูกหักไว้ตลอดปี ซึ่งหากเรามีตัวช่วยลดหย่อนภาษีในด้านต่าง ๆ ต้องเตรียมหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ หนังสือรับรองการซื้อกองทุน RMF/SSF/SSFX หลักฐานการบริจาค และใบเสร็จจากโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินกรณีผ่อนบ้าน ทั้งนี้ควรจัดเก็บเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการอัพโหลด คนมีคู่ ผู้ที่สมรสแล้วต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) คือ ทะเบียนสมรสและใบสูติบัตรบุตร(ถ้ามี) สำหรับการลดหย่อน ส่วนเอกสารการลดหย่อนอื่น ๆ เหมือนกับคนโสด ได้แก่ ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน หลักฐานการลงทุนในกองทุน หลักฐานการบริจาค ใบเสร็จช้อปดีมีคืน และหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้ โดยสามารถนำค่าลดหย่อนของคู่สมรสมารวมในการคำนวณภาษีได้ ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 ยื่นภาษีไม่ทันหรือชำระภาษีไม่ทันทำอย่างไรดี กรณีที่ไม่สามารถยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ หรือชำระภาษีได้ทันตามกำหนด จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย โดยหากมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับจากวันที่เลยเวลาจ่าย และต้องเสียค่าปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษีที่ต้องชำระ ส่วนกรณีที่ไม่มีภาษีต้องชำระแต่ยื่นแบบล่าช้า จะถูกปรับ 1,000 บาท ดังนั้นควรวางแผนยื่นภาษีล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม การยื่นภ.ง.ด.91 ออนไลน์ทำให้การจัดการภาษีง่ายมากขึ้น เพียงเตรียมเอกสารให้พร้อมและทำความเข้าใจขั้นตอนการยื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ควรวางแผนยื่นล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร หรือโทรสอบถามที่ 1161  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการทำ ภ.ง.ด. 91 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี) โดยช่วยคำนวณภาษีและจัดทำรายงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระบบสามารถบันทึกและสรุปข้อมูลรายได้ ค่าใช้จ่าย และการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งสร้างแบบฟอร์มภ.ง.ด. 91 ที่สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

เจ้าของธุรกิจทำสัญญาให้มีผลทางกฎหมาย ต้องจ่ายภาษีอากรแสตมป์

การทำธุรกิจย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เพื่อให้ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต้องติดอย่างไร เมื่อไหร่ และมีอัตราเท่าไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องอากรแสตมป์อย่างละเอียด เพื่อให้การทำสัญญาของเราถูกต้องและใช้ได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรแสตมป์ คืออะไร ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการทำนิติกรรมหรือสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและสร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยมีลักษณะเป็นแสตมป์ที่ต้องติดลงบนตราสารหรือเอกสารสำคัญภายใน 15 วันหลังจากการลงนาม เช่น สัญญาจ้างงาน สัญญาเช่า หนังสือมอบอำนาจ หรือใบมอบฉันทะ ทั้งนี้ อัตราค่าอากรแสตมป์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร อากรแสตมป์สำคัญกับการทำสัญญาอย่างไร การติดอากรแสตมป์ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจในหลายด้าน มาดูกันว่าทำไมอากรแสตมป์จึงมีความสำคัญ ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย การติดภาษีอากรแสตมป์ในเอกสารหรือสัญญาเป็นการรับรองว่าเอกสารนั้นได้ทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเสมือนตราประทับรับรองจากภาครัฐ ทำให้เอกสารน่าเชื่อถือและใช้ได้ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังทำให้เห็นว่าผู้ทำสัญญามีความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงและเคารพกฎหมาย ป้องกันความขัดแย้ง การติดอากรแสตมป์ช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่ได้ตกลงทำสัญญานี้กันจริง และสัญญานั้นผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้ง สัญญาที่ติดอากรแสตมป์ครบถ้วนจะมีน้ำหนักในการพิจารณามากกว่าสัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์  ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ สัญญาที่ติดภาษีอากรแสตมป์ครบถ้วนใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ทันที ในขณะที่สัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์หรือติดไม่ครบถ้วน อาจถูกปฏิเสธการรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล หรือต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้ ดังนั้น การติดอากรแสตมป์จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม การชำระค่าอากรแสตมป์มีกี่วิธี การชำระค่าอากรแสตมป์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลักษณะของเอกสาร ดังนี้ ตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่ต้องจ่าย การชำระอากรแสตมป์ขึ้นอยู่กับประเภทเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. สัญญาเช่าทรัพย์สินอากรแสตมป์สำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอัตราอยู่ที่ 1 บาทต่อค่าเช่า 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าระบุไว้ที่ 10,500 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 11 บาท ซึ่งการคำนวณนี้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าประเภทต่าง ๆ เช่น เช่าที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ 2. ตั๋วเงิน (ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค)สำหรับเอกสารประเภทตั๋วเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 3 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท เช่น หากยอดเงินในตั๋วเงินระบุไว้ที่ 6,500 บาท ผู้ที่ออกตั๋วจะต้องชำระอากรแสตมป์จำนวน 12 บาท 3. หนังสือมอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่มักใช้ในทางธุรกิจหรือการดำเนินการทางกฎหมาย จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 10 บาทต่อฉบับ โดยไม่มีการคิดเพิ่มตามมูลค่าหรือรายละเอียดของเอกสาร 4. สัญญากู้ยืมเงินในกรณีของสัญญากู้ยืมเงิน อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากมีการกู้เงินจำนวน 50,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 25 บาท 5. สัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานออกแบบ จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อค่าแรง 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท เช่น หากค่าแรงรวมทั้งหมดเป็น 15,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 15 บาท 6. สัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันที่ใช้ในการรับรองหรือค้ำประกันภาระผูกพันทางการเงิน จะต้องชำระอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท 7. สัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์สำหรับสัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น หากมูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์ระบุไว้ที่ 1,000,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 1,000 บาท การติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารและสัญญาต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายและหากเกิดความขัดแย้งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ในการดำเนินธุรกิจการควบคุมการสั่งซื้อสินค้าและบริการให้มีระบบ ธุรกิจจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะระบบเอกสารอย่างใบสั่งซื้อ หรือ PO ที่มีรายละเอียดในการสั่งซื้อชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ง่าย ทำให้วางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งเอกสารสำคัญนี้จะมีรายละเอียดอะไรบ้างเราไปดูตัวอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกัน ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ใบสั่งซื้อ PO ที่เป็นวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ง่ายขึ้น มาดูกันว่าใบสั่งซื้อมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ช่วยควบคุมงบประมาณ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้องค์กรรู้ที่มาของค่าใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบตามขั้นตอน ทำให้สามารถป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการวางแผนการเงินและการจัดการกระแสเงินสดขององค์กร สร้างความโปร่งใส ใบสั่งซื้อ PO ทำให้กระบวนการจัดซื้อมีความโปร่งใส และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากทุกรายการมีการบันทึกและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ยังเป็นหลักฐานการตรวจสอบบัญชีภายในอีกด้วย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อมีระบบและมาตรฐาน ทำให้การติดต่อกับผู้ขายมีความชัดเจน เปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายต่างๆ ได้ ทำให้การสั่งซื้อมีความผิดพลาดน้อยลง และช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา  ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากขอซื้อ PR อย่างไร ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือใบสั่งซื้อ (PO) และใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกัน ใบสั่งซื้อ PO คือ ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อขององค์กร เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้นหลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียด เช่น ราคา การชำระเงิน ชนิดสินค้า จำนวนและการจัดส่ง เมื่อผู้ขายได้รับใบสั่งซื้อ PO และยอมรับเงื่อนไข สัญญานี้จะมีผลตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม การออกใบสั่งซื้อ PO ผู้มีอำนาจต้องอนุมัติก่อน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการทุจริต ใบขอซื้อ PR คือ ใบขอซื้อหรือ Purchase Requisition (PR) เป็นเอกสารภายในองค์กรที่แผนกต่าง ๆ ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยังฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผล และงบประมาณที่ต้องใช้ เอกสาร PR หัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจจะต้องตรวจสอบและอนุมัติก่อน เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย ข้อมูลที่ต้องมีในใบสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ได้แก่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดการสั่งซื้อต้องระบุชนิดสินค้า คุณสมบัติ จำนวน ราคาต่อหน่วย และราคารวม นอกจากนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดการจัดส่ง และลายเซ็นผู้มีอำนาจอนุมัติ การระบุข้อมูลให้ครบถ้วนช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทในอนาคต ตัวอย่างใบสั่งซื้อ และ ตัวอย่างใบขอซื้อ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และใบขอซื้อ PR ที่มีการใช้งานจริงในองค์กรมาให้ดูกัน การจัดการระบบเอกสารการสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการสร้าง ใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสามารถบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า และเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีระบบมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

ใบเสนอราคา (Quotation) คืออะไร ต้องออกเมื่อไหร่

การทำธุรกิจในปัจจุบันไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายเท่านั้น แต่ยังต้องมีเอกสารสำคัญที่ทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น โดยเฉพาะใบเสนอราคาฟอร์มที่นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจรายละเอียดสินค้า และบริการได้ชัดเจนแล้ว ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการทำธุรกรรมที่เจ้าของธุรกิจทุกคนควรมีอีกด้วย ซึ่งแบบฟอร์มใบเสนอราคา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ จะมีองค์ประกอบที่จำเป็นอะไรบ้างไปดูกัน ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจ คืออะไร ใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารทางธุรกิจที่ผู้ขายจัดทำขึ้นเพื่อแจ้งรายละเอียดสินค้าหรือบริการให้กับลูกค้า โดยระบุข้อมูลสำคัญอย่างครบถ้วน ทั้งชื่อสินค้า จำนวน ราคาต่อหน่วย และยอดรวมทั้งหมด รวมถึงวิธีการส่งมอบสินค้าและชำระเงิน ซึ่งเอกสารนี้จะออกให้ลูกค้าเมื่อมีการสอบถามราคาสินค้าหรือบริการ เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจ โดยใบเสนอราคาจะต้องผ่านการอนุมัติทุกครั้งจากผู้มีอำนาจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในอนาคตก่อนจะส่งให้ลูกค้า  ใบเสนอราคาสำคัญกับธุรกิจอย่างไร ในโลกธุรกิจการมีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรถือเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะใบเสนอราคาที่ไม่เพียงแต่แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการ แต่ยังทำให้ผู้ประกอบการดูมืออาชีพอีกด้วย มาดูกันว่าใบเสนอราคามีความสำคัญอย่างไรบ้าง ช่วยสื่อสารกับลูกค้าได้ชัดเจนมากขึ้น การมีใบเสนอราคาที่ระบุรายละเอียดครบถ้วนช่วยลดความคลุมเครือในการสื่อสารระหว่างผู้ขายและลูกค้า เพราะทุกข้อมูลถูกระบุไว้อย่างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งคุณสมบัติสินค้า ราคา เงื่อนไขการชำระเงิน และการจัดส่ง ทำให้ลูกค้าเข้าใจและสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น พร้อมช่วยป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างคู่ค้าได้ ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ การมีแบบฟอร์มใบเสนอราคาที่เป็นมาตรฐาน พร้อมตราสัญลักษณ์และข้อมูลบริษัทครบถ้วน ทำให้ธุรกิจดูมีความมืออาชีพ ทำให้ลูกค้ารู้สึกกล้าทำธุรกรรมกับธุรกิจเรา นอกจากนี้ การระบุรายละเอียดที่ชัดเจนยังสร้างความเชื่อถือว่าธุรกิจของเรามีความโปร่งใส ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากลูกค้า ช่วยเพิ่มโอกาสซื้อสินค้าของลูกค้า การจัดทำใบเสนอราคาอย่างเป็นระบบ แสดงรายละเอียดสินค้าและบริการอย่างครบถ้วน พร้อมระบุสิทธิประโยชน์หรือโปรโมชันต่าง ๆ จะช่วยลูกค้าเห็นรายละเอียดสินค้าและบริการที่จะได้รับทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดความลังเลและเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงทางกฎหมาย แม้ว่าใบเสนอราคาจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง แต่สามารถใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในกรณีที่เกิดข้อพิพาทได้ โดยเฉพาะเมื่อมีการลงนามยอมรับเงื่อนไขข้อตกลงเบื้องต้นที่แสดงถึงเจตนาในการซื้อขายของเราและอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งสามารถใช้อ้างอิงในชั้นศาลได้หากเกิดปัญหาในภายหลัง ใบเสนอราคาต้องออกเมื่อไหร่ การออกใบเสนอราคาควรดำเนินการทันทีเมื่อลูกค้าแสดงความสนใจในสินค้าหรือบริการและต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องราคาและเงื่อนไขต่าง ๆ ความรวดเร็วในการตอบสนองถือเป็นปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจตกลงซื้อขายได้เร็วขึ้น เนื่องจากลูกค้าอาจกำลังเปรียบเทียบราคากับคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม ความถูกต้องของข้อมูลในใบเสนอราคาให้ละเอียดก่อนส่งให้ลูกค้า เพื่อป้องกันปัญหในอนาคต แบบฟอร์มใบเสนอราคาต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง แบบฟอร์มใบเสนอราคาที่ดีควรมีองค์ประกอบครบถ้วน เพื่อให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ลูกค้าและใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในอนาคต โดยองค์ประกอบสำคัญที่ควรมีในใบเสนอราคามี ดังนี้ การมีใบเสนอราคาฟอร์มเอกสารธุรกิจที่ครบถ้วนและเป็นระบบ จะช่วยทำให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือ ช่วยให้การทำธุรกิจไม่มีปัญหาและเติบโตได้ดี การจัดทำใบเสนอราคาอย่างมืออาชีพจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการควรทำความเข้าใจและให้ความสำคัญ  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ ช่วยให้การออก ใบเสนอราคา เป็นเรื่องง่ายและเป็นมืออาชีพ ด้วยระบบที่สามารถสร้างและปรับแต่งใบเสนอราคาได้อย่างรวดเร็ว รองรับการส่งเอกสารออนไลน์หรือดาวน์โหลดเป็น PDF พร้อมติดตามสถานะและเปลี่ยนเป็นใบแจ้งหนี้ได้ทันที ระบบยังจัดเก็บเอกสารอย่างเป็นระเบียบ เพิ่มความสะดวกและความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในทุกขั้นตอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร

ทะเบียนพาณิชย์ คือ เอกสารสำคัญที่ใช้รับรองการประกอบธุรกิจการค้าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนพาณิชย์ก่อนเริ่มประกอบกิจการ เพื่อแสดงตัวตนทางการค้าและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ ซึ่งจะมีกิจการไหนบ้างต้องจดทะเบียนนี้ และวิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ต้องทำอย่างไรบ้างไปดูกัน การจดทะเบียนพาณิชย์ คืออะไร? ทะเบียนพาณิชย์ คือ การจดแจ้งการประกอบธุรกิจการค้ากับหน่วยงานราชการตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมและส่งเสริมการประกอบธุรกิจให้เป็นไปอย่างถูกต้อง การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้ธุรกิจมีตัวตนทางกฎหมาย สามารถทำธุรกรรมทางการเงิน การค้า และการภาษีได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับคู่ค้าและลูกค้า รวมถึงเป็นประโยชน์ในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ทะเบียนพาณิชย์คืออะไร สำคัญกับธุรกิจอย่างไร ทะเบียนพาณิชย์มีความสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจหลายด้าน เป็นหลักฐานแสดงการมีตัวตนของกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมทางการค้า การติดต่อกับหน่วยงานราชการ และการทำสัญญากับคู่ค้า นอกจากนี้ ทะเบียนพาณิชย์ยังเป็นเอกสารสำคัญในการขอสินเชื่อธุรกิจ การเปิดบัญชีธุรกิจ และการเข้าร่วมประมูลงานต่าง ๆ กิจการไหนบ้างที่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ กฎหมายกำหนดให้ผู้ประกอบการทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่ประกอบกิจการในประเทศไทยต้องจดทะเบียนพาณิชย์ โดยแบ่งตามประเภทของผู้ประกอบการ ดังนี้ จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับบุคคลธรรมดา บุคคลธรรมดาที่ประกอบกิจการค้าด้วยทุนทรัพย์เกิน 20,000 บาท หรือมีกำไรขั้นต้นประจำปีเกิน 1,000 บาท ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ รวมถึงกิจการค้าปลีก ค้าส่ง การผลิตสินค้า การให้บริการ และการประกอบธุรกิจออนไลน์ การจดทะเบียนพาณิชย์จะช่วยให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินกิจการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย จดทะเบียนพาณิชย์สำหรับนิติบุคคล นิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย เช่น บริษัทจำกัด ห้างหุ้นส่วนจำกัด ต้องจดทะเบียนพาณิชย์เมื่อเริ่มประกอบกิจการ โดยไม่คำนึงถึงจำนวนทุนหรือรายได้ การจดทะเบียนพาณิชย์จะทำให้นิติบุคคลสามารถดำเนินธุรกรรมทางการค้าและการเงินได้อย่างถูกต้อง กิจการไหนบ้างที่ได้รับยกเว้นจดทะเบียนพาณิชย์ กิจการบางประเภทได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เช่น การค้าเร่ การค้าแผงลอย กิจการของกระทรวง ทบวง กรม การค้าของสหกรณ์ การค้าของมูลนิธิ สมาคม สโมสรที่จดทะเบียนตามกฎหมาย และการประกอบอาชีพอิสระ เช่น แพทย์ ทนายความ สถาปนิก ที่ทำงานโดยใช้วิชาชีพส่วนตัว เอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียนพาณิชย์ การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนจะช่วยให้การจดทะเบียนพาณิชย์ไม่มีปัญหาและทำให้ได้รับเอกสารเร็วขึ้น โดยเอกสารที่ต้องเตรียมมีดังนี้  วิธีการจดทะเบียนพาณิชย์ การจดทะเบียนพาณิชย์เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายในประเทศไทย โดยการจดทะเบียนพาณิชย์นี้สามารถทำได้ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการ โดยมีขั้นตอนดังนี้  บทลงโทษถ้าไม่จดทะเบียนพาณิชย์ ผู้ประกอบการที่ไม่จดทะเบียนพาณิชย์ตามที่กฎหมายกำหนดจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ มีโทษปรับตั้งแต่ 500 ถึง 5,000 บาท และปรับต่อเนื่องอีกวันละไม่เกิน 100 บาทจนกว่าจะได้จดทะเบียน นอกจากนี้ ยังอาจมีผลกระทบต่อการทำธุรกรรมทางการเงินและความน่าเชื่อถือของธุรกิจ ทะเบียนพาณิชย์คือขั้นตอนสำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและโอกาสทางธุรกิจ ผู้ประกอบการควรศึกษาข้อมูลและเตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนดำเนินการจดทะเบียน เพื่อให้การจดทะเบียนเป็นไปอย่างถูกต้องและไม่มีปัญหา โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่สำหรับนายจ้าง

การจ้างงานพนักงานใหม่นั้นนายจ้างมีหน้าที่สำคัญในการดูแลสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ แต่ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนายจ้างต้องทำอะไรบ้างไปดูกัน  ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้พนักงาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องดำเนินการ ไม่เพียงเพราะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน มาดูเหตุผลสำคัญที่นายจ้างควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัติประกันสังคมกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มจ้างงาน หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังพร้อมเงินเพิ่ม 2% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย ซึ่งถ้าบริษัททำตามกฎหมายนี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พนักงานได้ประโยชน์ทำให้อยู่กับบริษัทได้นาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันชีวิตที่ดี ส่งผลให้เกิดความผูกพันกับองค์กรจึงมีโอกาสทำงานกับบริษัทได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดี องค์กรที่ดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี โดยเฉพาะการจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ ช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงาน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่คำนวณจากฐานค่าจ้าง โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายในอัตราเท่ากันคือ 5% ของค่าจ้าง ซึ่งมีฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุด 15,000 บาท ต่อเดือน หากค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท และหากสูงกว่า 15,000 บาท ให้คำนวณจาก 15,000 บาท ตัวอย่าง กรณีพนักงานเข้าใหม่มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท เอกสารจำเป็นระหว่างการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ในการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์ ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วน เพื่อให้การยื่นประกันสังคมออนไลน์เร็วและไม่มีปัญหา โดยเอกสารที่จำเป็นต้องใช้มี ดังนี้  ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมพนักงานใหม่ การยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด โดยมีขั้นตอนในการยื่น ดังนี้  การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร นอกจากจะช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ระบบบริหารจัดการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

E-Document เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คืออะไร มีข้อดีกับองค์กรอย่างไร

E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นระบบที่เหมาะกับการทำงานในองค์กรสมัยใหม่มาก ๆ โดยเฉพาะในธุรกิจที่ต้องจัดการเอกสารจำนวนมาก โดยการใช้ E-Document สามารถช่วยลดต้นทุนของบริษัทและยังช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ซึ่ง E-Document จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เราไปทำความรู้จักและดูจุดเด่นกัน E-Document คืออะไร E-Document หรือ เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ คือ ข้อมูลที่สามารถสร้างส่ง-รับ หรือเก็บรักษาด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสามารถเข้าถึงและนำมาใช้อ้างอิงได้ในภายหลัง โดยเนื้อหาจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่การสร้างครั้งแรก ระบบ E-Document สามารถรองรับเอกสารได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารทางธุรกิจ สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือรายงานต่าง ๆ การทำงานด้วยระบบ E-Document ช่วยให้องค์กรสามารถจัดการเอกสารได้อย่างเป็นระบบ มีความปลอดภัย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตลอดเวลา ประเภทของ E-Document E-Document สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณะการใช้งานและความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย โดยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน องค์กรสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับความต้องการและข้อกำหนดทางกฎหมายได้ E-Document ที่ไม่ลงลายมือชื่อ (Unsigned E-Document) Unsigned E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่ต้องลงลายมือชื่อรับรอง เหมาะสำหรับเอกสารภายในองค์กรที่ไม่ต้องการความน่าเชื่อถือทางกฎหมาย เช่น บันทึกภายใน รายงานการประชุม หรือเอกสารประกอบการทำงานทั่วไป ระบบจะบันทึกข้อมูลการสร้าง แก้ไข และเข้าถึงเอกสาร ทำให้สามารถตรวจสอบประวัติการทำงานได้ แม้จะไม่มีลายเซ็นรับรอง แต่ยังคงมีความปลอดภัยผ่านระบบการจัดการสิทธิ์และการเข้ารหัสข้อมูล E-Document ที่ลงลายมือชื่อ (Signed E-Document) Signed E-Document เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดิจิทัลเพื่อรับรองความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ใช้สำหรับเอกสารที่ต้องการผลทางกฎหมาย เช่น สัญญา ใบแจ้งหนี้ หรือเอกสารทางการเงิน การลงลายมือชื่อดิจิทัลจะใช้เทคโนโลยีการเข้ารหัสที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้ไม่สามารถปลอมแปลงหรือแก้ไขเอกสารได้หลังจากการลงนาม และสามารถตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็นได้ ข้อดีของ E-Document การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรมีประโยชน์มากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงาน มาดูข้อดีในการใช้ E-Document ในแต่ละด้านกัน จัดการเอกสารในองค์กรได้ง่ายขึ้น การใช้ระบบ E-Document ช่วยให้การจัดการเอกสารในองค์กรเป็นระบบมากขึ้น เพราะสามารถจัดเก็บเอกสารไว้ในระบบคลาวด์ ทำให้ค้นหาและเรียกดูได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบยังมีการจัดหมวดหมู่และมีการจัดทำดรรชนีอัตโนมัติ (Automatic indexing) ทำให้สามารถช่วยลดเวลาในการค้นหาได้ นอกจากนี้ ยังสามารถกำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาเอกสารและทำลายเอกสารอัตโนมัติตามนโยบายขององค์กรได้อีกด้วย ทำงานกับระบบปฏิบัติการได้หลากหลาย ระบบ E-Document สามารถทำงานร่วมกับระบบปฏิบัติการและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ไม่ว่าจะเป็น Windows, macOS, iOS หรือ Android ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้จากทุกอุปกรณ์ การแชร์และทำงานร่วมกันบนเอกสารทำได้ง่าย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเข้ากันได้ของระบบ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ในองค์กร เช่น ระบบ ERP หรือระบบ CRM เพื่อการทำงานที่ครบวงจร สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงเอกสารในองค์กร ระบบ E-Document มีระบบจัดการสิทธิ์ที่ยืดหยุ่น สามารถกำหนดได้ว่าใครมีสิทธิ์เข้าถึง ดู แก้ไข หรือแชร์เอกสารใดบ้าง ทำให้ข้อมูลสำคัญขององค์กรถูกจำกัดการเข้าถึงเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น โดยระบบจะบันทึกประวัติการเข้าถึงและการทำงานกับเอกสารทุกครั้ง ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าใครทำอะไรกับเอกสารบ้าง จึงสามารถเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานได้ด้วย ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ E-Document ช่วยลดต้นทุนในหลายด้าน ทั้งค่ากระดาษ ค่าหมึกพิมพ์ ค่าจัดเก็บเอกสาร และค่าขนส่งเอกสาร นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาและจัดการเอกสาร ลดความผิดพลาดจากการทำงานด้วยมือ และเพิ่มความรวดเร็วในการทำงาน พนักงานสามารถทำงานร่วมกันบนเอกสารเดียวกันได้พร้อมกัน ลดการทำงานซ้ำซ้อน เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล ระบบ E-Document มีระบบรักษาความปลอดภัยหลายชั้น ทั้งการเข้ารหัสข้อมูล การยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย และการบันทึกประวัติการใช้งาน ช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลและการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากนี้ ยังมีระบบสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหายหรือเสียหายจากภัยพิบัติต่าง ๆ ตัวอย่างรูปแบบการใช้งาน E-Document ระบบ E-Document สามารถประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบในองค์กร เช่น การจัดการเอกสารทางการเงิน สัญญา และเอกสารด้านทรัพยากรบุคคล การใช้ E-Document ในการออกใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ช่วยลดขั้นตอนและเวลาในการทำงาน รวมถึงการใช้ในกระบวนการอนุมัติเอกสารที่ต้องการความรวดเร็วและการติดตามสถานะที่ชัดเจน การนำระบบ E-Document มาใช้ในองค์กรถือเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาสู่องค์กรดิจิทัล เพราะช่วยลดต้นทุนในการทำงานทำให้องค์กรมีงบในการแข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งสามารถเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ช่วยทำให้การทำงานดีมากยิ่งขึ้น และข้อมูลของบริษัทจะมีความปลอดภัย โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

14 min

รวม 7 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแบบฉบับเข้าใจง่ายในไม่กี่นาที

สำหรับนักธุรกิจที่ประกอบกิจการในไทย การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย เพราะจะช่วยให้ธุรกิจของคุณถูกต้องตามกฎหมาย สามารถดำเนินกิจการได้โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดปัญหาในภายหลัง แล้วต้องทำอย่างไร? สามารถจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ได้ไหม? Peak Account ได้สรุปข้อมูลมาให้แล้ว เจ้าของธุรกิจคนไหนที่กำลังจะเปิดบริษัทใหม่ ห้ามพลาดบทความนี้เลย! การจดทะเบียนบริษัทคืออะไร ก่อนที่จะไปดูว่าการจดทะเบียนบริษัทมีขั้นตอนอย่างไร เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับการจดทะเบียนบริษัทก่อน โดยการจดทะเบียนบริษัท คือ การที่ผู้ประกอบการนำธุรกิจของตนเองไปจดทะเบียนให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลรูปแบบหนึ่ง ซึ่งหมายถึงบุคคลที่กฎหมายสมมติให้มีสภาพบุคคลเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป ทำให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ในนามบริษัทได้ ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกรรมทางการเงิน การเสียภาษี การครอบครองสิทธิในการเป็นเจ้าของทรัพย์สินต่าง ๆ รวมถึงการเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ได้นั่นเอง ประเภทการจดทะเบียนบริษัท การดำเนินธุรกิจในประเทศไทย จะสามารถจดทะเบียนบริษัทได้ 2 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ จดทะเบียนแบบพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) และจดทะเบียนแบบนิติบุคคล ซึ่งจะมีข้อกำหนดแตกต่างกัน ดังนี้  1. ประเภททะเบียนพาณิชย์ (บุคคลธรรมดา) การจดทะเบียนบริษัทประเภทนี้ จะเหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก หรือธุรกิจที่มีเจ้าของคนเดียว มีข้อดีตรงที่สามารถทำธุรกิจได้อิสระมากกว่าแบบที่สอง ไม่ต้องคอยทำบัญชียื่นงบส่งให้ยุ่งยาก และจะเสียภาษีโดยคำนวณจากอัตราภาษีหลังหักค่าใช้จ่าย แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ ถ้าธุรกิจขาดทุนก็ต้องรับผิดชอบเอง และสามารถมีหนี้สินได้ไม่จำกัด หากการเงินของบริษัทไม่เพียงพอ เจ้าของธุรกิจก็ต้องรับผิดชอบด้วยทรัพย์สินส่วนตัวเอง 2. ประเภททะเบียนนิติบุคคล เป็นประเภทการจดทะเบียนบริษัทที่พบได้ทั่วไป เหมาะกับธุรกิจที่ต้องดำเนินการในรูปแบบบริษัท หรือมีผู้ประกอบการ หรือเจ้าของกิจการมาร่วมลงทุนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มีข้อดีตรงที่หนี้สินมีจำกัด เมื่อบริษัทเป็นหนี้ก็จะรับผิดชอบไม่เกินจำนวนเงินที่ได้ลงทุนไป และเสียภาษีน้อยกว่าแบบแรก โดยภาษีเงินได้ที่ต้องเสียจะไม่เกิน 20% ของอัตราภาษีหลังหักค่าใช้จ่าย ที่สำคัญยังช่วยให้บริษัทน่าเชื่อถือด้วย 7 ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทแบบฉบับเข้าใจง่าย ในปัจจุบัน เราสามารถจดทะเบียนบริษัทได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น การจดผ่านสำนักงานบัญชี ไปจดที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าด้วยตนเอง หรือจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ มีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก แค่ 7 ขั้นตอนเท่านั้น!  1. ตั้งชื่อบริษัทที่ต้องการใช้ในการจดทะเบียน สิ่งแรกที่คุณต้องทำก็คือการตั้งชื่อบริษัทที่จะใช้ในการจดทะเบียนบริษัท เพื่อให้ผ่านได้ง่าย ๆ แนะนำให้ตั้งชื่อที่ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่น และตรงตามข้อกำหนดของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า หลีกเลี่ยงการใช้คำที่อยู่ในข้อห้าม ไม่ว่าจะเป็น ชื่อประเทศ กลุ่มคำที่ทำให้คนเข้าใจผิด ชื่อที่มีความใกล้เคียงกับพระนามของมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือชื่อที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับราชการต่าง ๆ เช่น ชื่อกระทรวง ชื่อกรม หรือชื่อทบวง โดยคุณสามารถเช็กผ่านระบบออนไลน์ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้เลยว่าใช้ได้หรือไม่ 2. จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิและยื่นต่อนายทะเบียน หลังจากได้ชื่อบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจะต้องไปจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิต่อ ซึ่งเป็นเอกสารที่ระบุถึงวัตถุประสงค์ของบริษัท โครงสร้างทุน และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารนี้สามารถยื่นในขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ได้เลย โดยหลังจากที่นายทะเบียนลงชื่อบนเอกสารแล้ว คุณจะต้องนำไปยื่นภายในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน หากช้ากว่านั้นก็จะต้องทำใหม่ 3. เปิดให้มีการจองซื้อหุ้นบริษัทและนัดประชุมผู้ถือหุ้นทั้งหมด การเปิดจองให้ซื้อหุ้นบริษัทสำหรับผู้ถือหุ้นที่สนใจ และนัดให้ผู้ถือหุ้นทุกคนมาประชุมร่วมกัน เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญของการจดทะเบียนบริษัท เพราะจะช่วยให้เราสามารถกำหนดโครงสร้างและทิศทางของบริษัทให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ตั้งแต่เริ่ม และลดโอกาสเกิดความขัดแย้งในภายหลัง โดยเจ้าของธุรกิจจะต้องดำเนินการอย่างโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นทุกคนมีสิทธิ์จองซื้อหุ้นอย่างเท่าเทียม 4. การจัดประชุมเพื่อจัดตั้งจดทะเบียนบริษัท ขั้นตอนการจัดประชุมจัดตั้งจดทะเบียนบริษัทจะทำหลังจากที่ผู้ถือหุ้นได้จองซื้อหุ้นกันเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ถือหุ้นทุกคนจะต้องมาพิจารณาและอนุมัติเรื่องสำคัญต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของบริษัท ทั้งการแต่งตั้งคณะกรรมการบริษัท การออกข้อบังคับต่าง ๆ หรือการออกหุ้น เป็นต้น 5. เลือกคณะกรรมการบริษัทเพื่อดำเนินการในกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อบริษัทได้รับการจัดตั้งแล้ว คณะกรรมการบริษัทจะต้องถูกเลือกให้เรียบร้อย เพื่อมาดำเนินการกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท เช่น การบริหารจัดการ การเงิน และการตลาด การเลือกคณะกรรมการที่มีความสามารถและความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ จะช่วยให้บริษัทดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 6. ชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัท ในส่วนของการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนบริษัท ค่าธรรมเนียมจะขึ้นอยู่กับทุนจดทะเบียน และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับบริการต่าง ๆ หากดำเนินการจดทะเบียนบริษัทออนไลน์ คุณสามารถเลือกชำระผ่านบัตรเครดิต บัตรเดบิต หรือสแกน QR Code Payment ผ่านโมบายแบงก์กิ้งได้เลย โดยค่าธรรมเนียมจะอยู่ที่ 500 – 25,000 บาท 7. รับใบสำคัญและหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท หลังจากที่ทำทุกขั้นตอนเสร็จแล้ว เจ้าของธุรกิจจะได้รับใบรับรองการจดทะเบียนบริษัท ไว้ใช้เป็นหลักฐานว่า บริษัทมีการเปิดบริการถูกต้องตามกฎหมาย และมีสถานะเป็นนิติบุคคลแล้วนั่นเอง ช่องทางในการจดทะเบียนบริษัท การจดทะเบียนบริษัทในปัจจุบัน ผู้ประกอบการสามารถเลือกทำในช่องทางที่ตัวเองสะดวกได้เลย ซึ่งแต่ละช่องทางก็มีข้อดีที่น่าสนใจหรืออาจข้อจำกัดที่เราต้องพิจารณาเพิ่มมากขึ้น ทั้งในแง่ของค่าใช้จ่าย ระยะเวลา และความยุ่งยากในการดำเนินการ เราจึงได้รวบรวมช่องทางหลัก ๆ พร้อมรายละเอียดมาให้เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจเลือก จดทะเบียนบริษัทผ่านการใช้บริการสำนักงานบัญชี การใช้บริการสำนักงานบัญชีเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการจดทะเบียนมาก่อน สำนักงานบัญชีจะดูแลตั้งแต่การเตรียมเอกสาร ช่วยดูความถูกต้องต่าง ๆ ไปจนถึงการติดต่อกับหน่วยงานราชการให้กับเรา โดยจะใช้เวลาดำเนินการเพียง 1-3 วันทำการ ซึ่งเหมาะมาก ๆ กับผู้ประกอบการที่ต้องการรับคำแนะนำเกี่ยวกับโครงสร้างบริษัท การวางแผนภาษี และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แม้จะมีค่าบริการเพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมปกติ แต่ถือว่าคุ้มค่าสำหรับการประหยัดเวลาและไม่ต้องกังวลใจว่าจะเกิดข้อผิดพลาดด้วย จดด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ DBD e-Registration ระบบ DBD e-Registration เป็นช่องทางที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพัฒนาขึ้นเพื่อให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นเรื่องง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น สามารถจดทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงินและเวลาเดินทาง แต่ผู้ที่เลือกช่องทางนี้ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม และกรอกข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งอาจใช้เวลาดำเนินการ 3-5 วันทำการ และต้องมีความเข้าใจในขั้นตอนพอสมควร จดด้วยตนเองแบบ walk-in ที่กรมพัฒนาธุรกิจการค้า วิธีนี้เป็นการเดินทางไปจดทะเบียนถึงกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สามารถดำเนินการเสร็จสิ้นภายในวันเดียว หากเอกสารครบถ้วนและถูกต้อง เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบและให้คำแนะนำได้ทันที ทำให้แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว ไม่ต้องเสียค่าดำเนินการเพิ่มเติม เหมาะสำหรับผู้ที่พอมีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับการจดทะเบียนอยู่แล้ว และมีเวลาในการเดินทางในจดทะเบียน แม้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเต็มจำนวนและอาจต้องรอคิวนาน แต่ก็เป็นวิธีที่รวดเร็วที่สุดหากต้องการจดทะเบียนแบบเร่งด่วน  สรุปบทความ การจดทะเบียนบริษัทเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย ผู้ประกอบการจะเลือกทำด้วยตัวเองหรือว่าจ้างสำนักงานบัญชีที่มีประสบการณ์ช่วยในการจดทะเบียนแทนก็ได้ ซึ่งจะช่วยลดเวลาในการเตรียมเอกสารและทำให้การจดทะเบียนสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อากรแสตมป์คืออะไร พร้อมรวมทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้

อากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่จัดเก็บภาษีจากการทำตราสารหรือเอกสารต่าง ๆ ทางกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสตมป์ทั่วไปที่ใช้ในการส่งจดหมาย แต่ในความเป็นจริงอากรแสตมป์มีความสำคัญในด้านกฎหมายและธุรกรรมทางการเงิน การเข้าใจว่าอากรแสตมป์ใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง อากรแสตมป์ คืออะไร อากรแสตมป์ คือ ภาษีตามประมวลรัษฎากรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะจัดเก็บในลักษณะของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับเอกสารราชการและสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย ใบมอบอำนาจ โดยอากรบนเอกสารเหล่านี้เป็นการแสดงว่าภาษีได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว และเอกสารนั้นได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี แถมยังช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายอีกด้วย อากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์ปกติ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่ใช้ในการส่งจดหมายหรือไปรษณีย์ แต่ความจริงแล้วอากรแสตมป์กับแสตมป์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยแสตมป์ หรือ ตราไปรษณียากร มีลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยม โดยจะนำไปใช้ติดบนซองจดหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าบริการส่งไปรษณีย์แล้ว ซึ่งจะมีแสตมป์ทั่วไปกับแสตมป์ที่ระลึกที่มีการออกแบบเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น รูปแบบของอากรแสตมป์ เอกสารที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์มีอะไรบ้าง การทำตราสารหรือเอกสารบางประเภทในประเทศไทยต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าที่ดิน สัญญาจำนอง สัญญาร่วมลงทุน สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สัญญาจ้างทำของ สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มีผลทางกฎหมาย  วิธีการเสียค่าอากรแสตมป์ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์ สรุปบทความ อากรแสตมป์เป็นส่วนสำคัญในการทำตราสารและเอกสารทางกฎหมายในประเทศไทย ความเข้าใจในเรื่องอากรแสตมป์และการใช้แสตมป์อากรอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือจัดการกับเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่องบัญชี การเงิน และภาษีเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหล่านักลงทุน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จักแนวทางการทำงานแบบ Paperless วิธีช่วยลดต้นทุนกระดาษ

การทำงานแบบ Paperless กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับองค์กรยุคใหม่ที่ต้องการเพิ่มคุณภาพการทำงาน โดยการปรับเปลี่ยนสู่ระบบ Paperless ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนในการประหยัดทรัพยากรกระดาษเท่านั้น แต่ยังช่วยให้การจัดการเอกสารให้มีระบบมากขึ้น ลดพื้นที่จัดเก็บ และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล เรามาทำความเข้าใจกับแนวคิด Paperless และประโยชน์ที่องค์กรจะได้รับกัน การทำงานแบบ Paperless คืออะไร การทำงานแบบ Paperless คือ การลดการใช้กระดาษในกระบวนการทำงานโดยเปลี่ยนไปใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์แทน ระบบ Paperless ไม่ได้หมายถึงการไม่ใช้กระดาษเลย แต่เป็นการลดการใช้กระดาษให้น้อยที่สุดโดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย เช่น การสแกนเอกสาร การจัดเก็บไฟล์ดิจิทัล และการใช้ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยให้องค์กรประหยัดทั้งพื้นที่จัดเก็บ เวลาในการค้นหา และค่าใช้จ่ายในการจัดการเอกสาร ระบบ Paperless มีข้อดีอย่างไร การนำระบบ Paperless มาใช้ในองค์กรมีข้อดีมากมาย ทั้งด้านการจัดการ ความปลอดภัย และการเข้าถึงข้อมูล ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานและต้นทุนขององค์กร มาดูข้อดีที่สำคัญของการใช้ระบบ Paperless กัน เข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ทุกเวลา ระบบ Paperless ช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะทำงานที่ออฟฟิศ ที่บ้าน หรือระหว่างเดินทาง เอกสารทั้งหมดถูกจัดเก็บในระบบคลาวด์ที่มีความปลอดภัยสูง ทำให้การค้นหาและเรียกดูเอกสารทำได้ง่ายและรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังสามารถแชร์เอกสารให้กับทีมงานได้ทันที ลดเวลาในการรอคอยและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บเอกสารได้ การจัดเก็บเอกสารในระบบ Paperless มีความปลอดภัยสูงกว่าการเก็บเอกสารกระดาษ ด้วยระบบการเข้ารหัสข้อมูล การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง และการติดตามประวัติการใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารสำคัญจะไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือผู้ไม่หวังดี ระบบยังมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติ ป้องกันความเสียหายจากภัยพิบัติหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ  นำข้อมูลไปใช้ต่อได้อย่างง่ายดาย เอกสารในระบบ Paperless สามารถนำไปใช้ต่อได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการคัดลอกข้อมูล การแก้ไข หรือการวิเคราะห์ ข้อมูลทั้งหมดอยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่พร้อมนำไปประมวลผลหรือใช้งานร่วมกับซอฟต์แวร์อื่น ๆ เช่น โปรแกรมบัญชี หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูล ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำงานแบบ Paperless ช่วยลดการใช้กระดาษ ซึ่งส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง นอกจากจะช่วยลดการตัดต้นไม้แล้ว ยังช่วยลดการใช้พลังงานในกระบวนการผลิตกระดาษ การขนส่ง และการกำจัดของเสีย องค์กรที่ใช้ระบบ Paperless จึงมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม เทคโนโลยีและเครื่องมือที่ใช้ในระบบ Paperless มีอะไรบ้าง การทำงานแบบ Paperless ต้องอาศัยเทคโนโลยีและเครื่องมือหลายอย่างเพื่อให้การจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพสูงสุด ตั้งแต่การสร้างเอกสาร การจัดเก็บ ไปจนถึงการแชร์และสำรองข้อมูล ซึ่งจะมีเครื่องมืออะไรบ้างไปดูกัน โปรแกรมสำหรับสร้างและจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โปรแกรมจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของระบบ Paperless โดยระบบจะช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ สามารถสร้างใบกำกับภาษี ใบเสร็จ และรายงานทางการเงินในรูปแบบดิจิทัล พร้อมระบบจัดเก็บที่ปลอดภัยและค้นหาง่าย ลดการพิมพ์เอกสารและประหยัดทรัพยากร สแกนเนอร์ที่ใช้แปลงเอกสารให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ สแกนเนอร์เป็นอุปกรณ์สำคัญในการแปลงเอกสารกระดาษให้เป็นไฟล์ดิจิทัล โดยเฉพาะสแกนเนอร์ที่มีเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) ที่สามารถแปลงตัวอักษรในเอกสารให้เป็นข้อความที่แก้ไขได้ ทำให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อในโปรแกรมต่าง ๆ ได้ การเซ็นเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ช่วยให้การอนุมัติและลงนามในเอกสารทำได้รวดเร็วและปลอดภัย ไม่ต้องพิมพ์เอกสารเพื่อลงนามและสแกนกลับ ระบบจะมีการเข้ารหัสและตรวจสอบความถูกต้องของลายเซ็น ทำให้มั่นใจได้ว่าเอกสารมีความน่าเชื่อถือและใช้อ้างอิงทางกฎหมายได้ Cloud Storage ระบบจัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ช่วยให้เข้าถึงเอกสารได้ทุกที่ทุกเวลา มีพื้นที่จัดเก็บขนาดใหญ่ และระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูง เหมาะสำหรับการจัดเก็บเอกสารสำคัญขององค์กร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับโปรแกรมบัญชีที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ ทำให้การเข้าถึงและแชร์เอกสารทำได้ง่าย Backup Storage ระบบสำรองข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของระบบ Paperless เพื่อป้องกันการสูญหายของข้อมูล โดยมีการสำรองข้อมูลอัตโนมัติและจัดเก็บในหลายที่ ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยแม้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ระบบล่ม หรือภัยพิบัติต่าง ๆ ระบบ Knowledge Management ระบบจัดการความรู้ช่วยในการจัดเก็บและแชร์ความรู้ภายในองค์กร ทำให้พนักงานสามารถเข้าถึงข้อมูลและแนวปฏิบัติต่างๆ ได้ง่าย เช่น คู่มือการทำงาน แนวทางปฏิบัติ และเอกสารอ้างอิงต่าง ๆ ช่วยลดการพิมพ์เอกสารและทำให้การเรียนรู้ในองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่องค์กร Paperless เป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาธุรกิจ โดยเฉพาะการใช้โปรแกรมบัญชีที่มีการทำงานแบบ Paperless ก็จะสามารถช่วยให้การจัดการเอกสารทางการเงินเป็นระบบ ลดการใช้กระดาษ และทำให้องค์กรประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนได้ โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

นายจ้างควรรู้! ขั้นตอนและช่องทางการส่งเงินสมทบประกันสังคม

การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นสิ่งที่นายจ้างต้องทำทุกเดือน ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้พัฒนาระบบการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งวิธีการส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนการสมัครและการชำระเงินอะไรบ้างไปดูกัน การจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์คืออะไร การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ คือ ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ที่สำนักงานประกันสังคมพัฒนาขึ้นเพื่อให้นายจ้างส่งงินสมทบได้ง่ายขึ้น ลดขั้นตอนยุ่งยาก และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง นายจ้างสามารถทำรายการผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของธนาคารที่ร่วมให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ข้อดีของการจ่ายเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์มีข้อดีจะช่วยให้นายจ้างส่งเงินสมทบประกันสังคมได้ดีมากขึ้นหลายข้อ ซึ่งมีข้อดีอะไรบ้างมาดูกัน ความสะดวกสบายและประหยัดเวลา การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปสำนักงานประกันสังคมหรือธนาคาร ระบบจะคำนวณยอดเงินที่ต้องชำระให้อัตโนมัติ ทำให้ไม่ต้องคำนวณเองที่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ และสามารถทำรายการได้รวดเร็วภายในไม่กี่นาที นอกจากนี้ ยังตั้งเวลาการชำระเงินล่วงหน้าและได้ ชำระได้ทุกที่ทุกเวลา ระบบเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีหยุดหรือเวลาทำการ ทำได้ทุกที่เพียงมีอินเทอร์เน็ต คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ตโฟน นายจ้างจึงสามารถเลือกได้เองตามความสะดวก ตรวจสอบสถานะได้อย่างง่ายดาย ระบบจะเก็บประวัติการทำรายการทั้งหมด ทำให้สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ง่าย มีใบเสร็จรับเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถดาวน์โหลดได้ทันที และสามารถติดตามสถานะการจ่ายเงินได้แบบเรียลไทม์ ยืดหยุ่นในการชำระเงิน สามารถเลือกวิธีการจ่ายเงินได้ตามความสะดวก ทั้งการหักผ่านบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต หรือช่องทางอื่น ๆ ที่ธนาคารให้บริการ ช่วยให้นายจ้างบริหารกระแสเงินสดได้ดีมากขึ้น ทำไมบริษัทต้องส่งเงินสมทบประกันสังคม การส่งเงินสมทบประกันสังคมเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทตามที่กฎหมายกำหนดไว้ใน พระราชบัญญัติประกันสังคม ซึ่งมีขึ้นเพื่อสร้างระบบสวัสดิการสำหรับลูกจ้างให้ได้รับความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยบริษัทมีหน้าที่ในการสนับสนุนและรับผิดชอบในการส่งเงินสมทบ 5% ของค่าจ้างลูกจ้าง สูงสุดไม่เกินฐานเงินเดือน 15,000 บาท  หากไม่ส่งเงินสมทบประกันสังคมมีโทษไหม การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายประกันสังคมมีบทลงโทษที่รุนแรง โดยแบ่งเป็นสองกรณี ดังนี้  ขั้นตอนการส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ e-Payment การส่งเงินสมทบประกันสังคมผ่านระบบ e-Payment ทำได้ด้วยตนเองง่าย ๆ โดยมีขั้นตอน ดังนี้  การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์ช่วยให้นายจ้างบริหารจัดการได้สะดวกและง่ายมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเสียค่าปรับจากการส่งเงินสมทบล่าช้า และสามารถตรวจสอบได้ PEAK Payroll ช่วยให้การส่งเงินสมทบประกันสังคมออนไลน์เป็นเรื่องง่ายและสะดวกสำหรับนายจ้าง ด้วยระบบที่สามารถคำนวณและส่งข้อมูลการชำระเงินสมทบได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเอกสารหรือเดินทางไปที่สำนักงานประกันสังคม โดย PEAK Payroll รองรับการชำระเงินผ่าน e-Payment ที่ปลอดภัย พร้อมทั้งสามารถตรวจสอบสถานะการส่งเงินสมทบได้ตลอดเวลา ช่วยลดความเสี่ยงจากการล่าช้าและปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการชำระเงินไม่ตรงเวลา ทั้งยังช่วยให้ธุรกิจของคุณบริหารจัดการการเงินและข้อมูลพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

แจกขั้นตอนยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 พร้อมลิสต์เอกสารที่ต้องใช้

ใกล้ถึงเวลายื่นภาษีประจำปีแล้ว หลายคนอาจกังวลเรื่องการเตรียมเอกสารและขั้นตอนการยื่นภาษี โดยเฉพาะการยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ที่แม้จะสะดวกกว่าการเดินทางไปสรรพากร แต่ก็มีข้อมูลที่เราต้องรอบคอบก่อนทำการยื่นภาษีอยู่ด้วย ซึ่งก่อนที่เราจะทำการยื่นภาษีออนไลน์กันนั้น เราไปรายละเอียดของดูเอกสาร ขั้นตอน และข้อควรระวังต่าง ๆ กัน การยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คืออะไร การยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เป็นช่องทางที่กรมสรรพากรทำให้การยื่นภาษีสะดวกมากขึ้น โดยสามารถยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องเดินทางไปสำนักงานสรรพากร ระบบจะช่วยคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ ไม่ต้องกังวลเรื่องความผิดพลาด และยังสามารถบันทึกข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงในปีถัดไปได้ นอกจากนี้ ยังช่วยประหยัดทรัพยากรและลดการใช้กระดาษ ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด.91 ผู้มีหน้าที่ยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ คือผู้ที่มีรายได้จากการจ้างแรงงานเพียงประเภทเดียว โดยแบ่งเป็นสองกรณี คือ กรณีโสดที่มีรายได้เกิน 120,000 บาทต่อปี และกรณีสมรสที่มีรายได้รวมกันเกิน 220,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ รายได้ดังกล่าวต้องเป็นเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าตอบแทนจากการทำงานให้นายจ้างเท่านั้น ไม่รวมรายได้จากแหล่งอื่น เอกสารที่ต้องใช้ในการยื่นภาษี ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ ก่อนเริ่มยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ เราควรเตรียมเอกสารให้พร้อม เพื่อความสะดวกในการกรอกข้อมูลและป้องกันความผิดพลาด โดยเอกสารจะแตกต่างกันระหว่างผู้ที่มีสถานะโสดและสมรส มาดูกันว่าแต่ละกลุ่มต้องเตรียมเอกสารอะไรบ้าง คนโสด สำหรับผู้มีสถานะโสด เอกสารหลักที่ต้องเตรียมคือหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) จากนายจ้าง ซึ่งแสดงรายได้และภาษีที่ถูกหักไว้ตลอดปี ซึ่งหากเรามีตัวช่วยลดหย่อนภาษีในด้านต่าง ๆ ต้องเตรียมหลักฐานประกอบ เช่น ใบเสร็จค่าเบี้ยประกันชีวิตและสุขภาพ หนังสือรับรองการซื้อกองทุน RMF/SSF/SSFX หลักฐานการบริจาค และใบเสร็จจากโครงการช้อปดีมีคืน รวมถึงหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินกรณีผ่อนบ้าน ทั้งนี้ควรจัดเก็บเอกสารในรูปแบบไฟล์ดิจิทัลเพื่อความสะดวกในการอัพโหลด คนมีคู่ ผู้ที่สมรสแล้วต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติมนอกเหนือจากหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (50 ทวิ) คือ ทะเบียนสมรสและใบสูติบัตรบุตร(ถ้ามี) สำหรับการลดหย่อน ส่วนเอกสารการลดหย่อนอื่น ๆ เหมือนกับคนโสด ได้แก่ ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน หลักฐานการลงทุนในกองทุน หลักฐานการบริจาค ใบเสร็จช้อปดีมีคืน และหนังสือรับรองดอกเบี้ยเงินกู้ โดยสามารถนำค่าลดหย่อนของคู่สมรสมารวมในการคำนวณภาษีได้ ขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ ภ.ง.ด. 91 ยื่นภาษีไม่ทันหรือชำระภาษีไม่ทันทำอย่างไรดี กรณีที่ไม่สามารถยื่น ภ.ง.ด.91 ออนไลน์ หรือชำระภาษีได้ทันตามกำหนด จะมีบทลงโทษตามกฎหมาย โดยหากมีภาษีที่ต้องชำระ จะต้องเสียเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน นับจากวันที่เลยเวลาจ่าย และต้องเสียค่าปรับอีกหนึ่งเท่าของภาษีที่ต้องชำระ ส่วนกรณีที่ไม่มีภาษีต้องชำระแต่ยื่นแบบล่าช้า จะถูกปรับ 1,000 บาท ดังนั้นควรวางแผนยื่นภาษีล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม การยื่นภ.ง.ด.91 ออนไลน์ทำให้การจัดการภาษีง่ายมากขึ้น เพียงเตรียมเอกสารให้พร้อมและทำความเข้าใจขั้นตอนการยื่นแบบผ่านระบบออนไลน์ ทั้งนี้ควรวางแผนยื่นล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและเงินเพิ่ม โดยสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์กรมสรรพากร หรือโทรสอบถามที่ 1161  PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการทำ ภ.ง.ด. 91 (ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี) โดยช่วยคำนวณภาษีและจัดทำรายงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ระบบสามารถบันทึกและสรุปข้อมูลรายได้ ค่าใช้จ่าย และการหักภาษี ณ ที่จ่าย พร้อมทั้งสร้างแบบฟอร์มภ.ง.ด. 91 ที่สามารถยื่นผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที ช่วยให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

เจ้าของธุรกิจทำสัญญาให้มีผลทางกฎหมาย ต้องจ่ายภาษีอากรแสตมป์

การทำธุรกิจย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการทำสัญญาและเอกสารสำคัญต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เพื่อให้ใช้ได้ตามกฎหมาย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าต้องติดอย่างไร เมื่อไหร่ และมีอัตราเท่าไร วันนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องอากรแสตมป์อย่างละเอียด เพื่อให้การทำสัญญาของเราถูกต้องและใช้ได้ตามกฎหมาย ภาษีอากรแสตมป์ คืออะไร ภาษีอากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่รัฐจัดเก็บจากการทำนิติกรรมหรือสัญญาต่าง ๆ เพื่อรับรองความถูกต้องของเอกสารและสร้างรายได้ให้กับรัฐ โดยมีลักษณะเป็นแสตมป์ที่ต้องติดลงบนตราสารหรือเอกสารสำคัญภายใน 15 วันหลังจากการลงนาม เช่น สัญญาจ้างงาน สัญญาเช่า หนังสือมอบอำนาจ หรือใบมอบฉันทะ ทั้งนี้ อัตราค่าอากรแสตมป์จะแตกต่างกันไปตามประเภทของตราสาร ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร อากรแสตมป์สำคัญกับการทำสัญญาอย่างไร การติดอากรแสตมป์ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญต่อการทำธุรกิจในหลายด้าน มาดูกันว่าทำไมอากรแสตมป์จึงมีความสำคัญ ยืนยันความถูกต้องตามกฎหมาย การติดภาษีอากรแสตมป์ในเอกสารหรือสัญญาเป็นการรับรองว่าเอกสารนั้นได้ทำขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เปรียบเสมือนตราประทับรับรองจากภาครัฐ ทำให้เอกสารน่าเชื่อถือและใช้ได้ตามกฎหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังทำให้เห็นว่าผู้ทำสัญญามีความตั้งใจในการปฏิบัติตามข้อตกลงและเคารพกฎหมาย ป้องกันความขัดแย้ง การติดอากรแสตมป์ช่วยป้องกันข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น เพราะเป็นหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่ได้ตกลงทำสัญญานี้กันจริง และสัญญานั้นผ่านการรับรองตามกฎหมายแล้ว ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้ง สัญญาที่ติดอากรแสตมป์ครบถ้วนจะมีน้ำหนักในการพิจารณามากกว่าสัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์  ใช้ในกระบวนการยุติธรรมได้ สัญญาที่ติดภาษีอากรแสตมป์ครบถ้วนใช้เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ทันที ในขณะที่สัญญาที่ไม่ได้ติดอากรแสตมป์หรือติดไม่ครบถ้วน อาจถูกปฏิเสธการรับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาล หรือต้องเสียค่าปรับเพิ่มเติมก่อนนำไปใช้ ดังนั้น การติดอากรแสตมป์จึงเป็นการป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรม การชำระค่าอากรแสตมป์มีกี่วิธี การชำระค่าอากรแสตมป์สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและลักษณะของเอกสาร ดังนี้ ตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่ต้องจ่าย การชำระอากรแสตมป์ขึ้นอยู่กับประเภทเอกสารตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมีอัตราที่แตกต่างกัน โดยตัวอย่างอัตราอากรแสตมป์ที่พบบ่อย ได้แก่ 1. สัญญาเช่าทรัพย์สินอากรแสตมป์สำหรับสัญญาเช่าทรัพย์สินมีอัตราอยู่ที่ 1 บาทต่อค่าเช่า 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากค่าเช่าระบุไว้ที่ 10,500 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 11 บาท ซึ่งการคำนวณนี้ครอบคลุมถึงสัญญาเช่าประเภทต่าง ๆ เช่น เช่าที่ดิน อาคาร หรืออุปกรณ์ 2. ตั๋วเงิน (ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค)สำหรับเอกสารประเภทตั๋วเงิน เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินหรือเช็ค อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 3 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท เช่น หากยอดเงินในตั๋วเงินระบุไว้ที่ 6,500 บาท ผู้ที่ออกตั๋วจะต้องชำระอากรแสตมป์จำนวน 12 บาท 3. หนังสือมอบอำนาจหนังสือมอบอำนาจซึ่งเป็นเอกสารที่มักใช้ในทางธุรกิจหรือการดำเนินการทางกฎหมาย จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 10 บาทต่อฉบับ โดยไม่มีการคิดเพิ่มตามมูลค่าหรือรายละเอียดของเอกสาร 4. สัญญากู้ยืมเงินในกรณีของสัญญากู้ยืมเงิน อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากมีการกู้เงินจำนวน 50,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 25 บาท 5. สัญญาจ้างแรงงานหรือจ้างทำของสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ เช่น งานก่อสร้าง หรืองานออกแบบ จะต้องติดอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อค่าแรง 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท เช่น หากค่าแรงรวมทั้งหมดเป็น 15,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องจ่ายคือ 15 บาท 6. สัญญาค้ำประกันสัญญาค้ำประกันที่ใช้ในการรับรองหรือค้ำประกันภาระผูกพันทางการเงิน จะต้องชำระอากรแสตมป์ในอัตรา 1 บาทต่อยอดเงินทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท โดยมีอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท 7. สัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์สำหรับสัญญาซื้อขายหรือโอนลิขสิทธิ์ อากรแสตมป์จะคิดในอัตรา 0.1% ของมูลค่าที่ระบุไว้ในสัญญา เช่น หากมูลค่าการซื้อขายลิขสิทธิ์ระบุไว้ที่ 1,000,000 บาท อากรแสตมป์ที่ต้องชำระคือ 1,000 บาท การติดอากรแสตมป์และจ่ายภาษีอากรแสตมป์ เป็นขั้นตอนที่จะช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารและสัญญาต่าง ๆ เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เอกสารมีผลทางกฎหมายและหากเกิดความขัดแย้งสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ใบสั่งซื้อ Purchase Order (PO) คืออะไร พร้อมตัวอย่าง

ในการดำเนินธุรกิจการควบคุมการสั่งซื้อสินค้าและบริการให้มีระบบ ธุรกิจจะสามารถบริหารต้นทุนได้ดีมากขึ้น โดยเฉพาะระบบเอกสารอย่างใบสั่งซื้อ หรือ PO ที่มีรายละเอียดในการสั่งซื้อชัดเจนสามารถตรวจสอบได้ง่าย ทำให้วางแผนควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ซึ่งเอกสารสำคัญนี้จะมีรายละเอียดอะไรบ้างเราไปดูตัวอย่างที่จะช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นกัน ใบสั่งซื้อ PO สำคัญอย่างไรกับธุรกิจ การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการต้นทุนและการควบคุมการจัดซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการใช้ใบสั่งซื้อ PO ที่เป็นวิธีการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ง่ายขึ้น มาดูกันว่าใบสั่งซื้อมีความสำคัญต่อธุรกิจอย่างไรบ้าง ช่วยควบคุมงบประมาณ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้องค์กรรู้ที่มาของค่าใช้จ่าย และควบคุมการใช้จ่ายของบริษัทได้ดีขึ้น เนื่องจากทุกการสั่งซื้อจะต้องได้รับการอนุมัติและตรวจสอบตามขั้นตอน ทำให้สามารถป้องกันการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นและเกินงบประมาณได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการวางแผนการเงินและการจัดการกระแสเงินสดขององค์กร สร้างความโปร่งใส ใบสั่งซื้อ PO ทำให้กระบวนการจัดซื้อมีความโปร่งใส และลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เนื่องจากทุกรายการมีการบันทึกและตรวจสอบได้ อีกทั้ง ยังเป็นหลักฐานการตรวจสอบบัญชีภายในอีกด้วย เพิ่มประสิทธิภาพการจัดซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ช่วยให้กระบวนการจัดซื้อมีระบบและมาตรฐาน ทำให้การติดต่อกับผู้ขายมีความชัดเจน เปรียบเทียบราคากับผู้ขายรายต่างๆ ได้ ทำให้การสั่งซื้อมีความผิดพลาดน้อยลง และช่วยให้การจัดส่งสินค้าเป็นไปตามกำหนดเวลา  ใบสั่งซื้อ PO คืออะไร แตกต่างจากขอซื้อ PR อย่างไร ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง มีเอกสารสำคัญสองประเภทที่มักสร้างความสับสนให้กับผู้ประกอบการ นั่นคือใบสั่งซื้อ (PO) และใบขอซื้อ (PR) แม้จะมีความเกี่ยวข้องกัน แต่มีวัตถุประสงค์และการใช้งานที่แตกต่างกัน มาทำความเข้าใจแต่ละประเภทกัน ใบสั่งซื้อ PO คือ ใบสั่งซื้อหรือ Purchase Order (PO) เป็นเอกสารทางธุรกิจที่ออกโดยฝ่ายจัดซื้อขององค์กร เพื่อสั่งซื้อสินค้าหรือบริการจากผู้ขาย (Supplier) อย่างเป็นทางการ ใบสั่งซื้อ PO จะถูกจัดทำขึ้นหลังจากที่ใบขอซื้อ (PR) ได้รับการอนุมัติแล้ว โดยจะมีรายละเอียด เช่น ราคา การชำระเงิน ชนิดสินค้า จำนวนและการจัดส่ง เมื่อผู้ขายได้รับใบสั่งซื้อ PO และยอมรับเงื่อนไข สัญญานี้จะมีผลตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม การออกใบสั่งซื้อ PO ผู้มีอำนาจต้องอนุมัติก่อน เพื่อควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการทุจริต ใบขอซื้อ PR คือ ใบขอซื้อหรือ Purchase Requisition (PR) เป็นเอกสารภายในองค์กรที่แผนกต่าง ๆ ใช้แจ้งความต้องการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการไปยังฝ่ายจัดซื้อ โดยระบุรายละเอียดสินค้าที่ต้องการ เหตุผล และงบประมาณที่ต้องใช้ เอกสาร PR หัวหน้าแผนกหรือผู้มีอำนาจจะต้องตรวจสอบและอนุมัติก่อน เพื่อยืนยันความจำเป็นและความเหมาะสมของการจัดซื้อ ระบบ PR ช่วยควบคุมการใช้จ่ายและป้องกันการสั่งซื้อที่ไม่จำเป็น รวมถึงป้องกันการทุจริตของพนักงานและผู้ขาย ข้อมูลที่ต้องมีในใบสั่งซื้อ ใบสั่งซื้อ PO ที่สมบูรณ์ต้องประกอบด้วยข้อมูลสำคัญที่ครบถ้วน เริ่มจากข้อมูลพื้นฐานของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย ได้แก่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษี รายละเอียดการสั่งซื้อต้องระบุชนิดสินค้า คุณสมบัติ จำนวน ราคาต่อหน่วย และราคารวม นอกจากนี้ ยังต้องมีเงื่อนไขการชำระเงิน กำหนดการจัดส่ง และลายเซ็นผู้มีอำนาจอนุมัติ การระบุข้อมูลให้ครบถ้วนช่วยลดข้อผิดพลาดและข้อพิพาทในอนาคต ตัวอย่างใบสั่งซื้อ และ ตัวอย่างใบขอซื้อ เพื่อให้เข้าใจรูปแบบและองค์ประกอบของเอกสารทั้งสองประเภทได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เราได้รวบรวมตัวอย่างใบสั่งซื้อ PO และใบขอซื้อ PR ที่มีการใช้งานจริงในองค์กรมาให้ดูกัน การจัดการระบบเอกสารการสั่งซื้อที่มีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมการใช้จ่าย ป้องกันการทุจริต และสร้างความโปร่งใสในกระบวนการจัดซื้อขององค์กรได้ดีขึ้น เจ้าของธุรกิจจึงควรเข้าใจและใช้ประโยชน์จากใบสั่งซื้อ PO อย่างเต็มที่ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ รองรับการสร้าง ใบสั่งซื้อ (PO) ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้คุณจัดการคำสั่งซื้อจากผู้จัดจำหน่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ระบบสามารถบันทึกและติดตามข้อมูลการสั่งซื้อ สินค้า และเงื่อนไขการชำระเงิน พร้อมทั้งสามารถเชื่อมโยงกับใบส่งสินค้าและใบแจ้งหนี้ได้ทันที ทำให้การจัดการธุรกิจเป็นไปอย่างราบรื่นและมีระบบมากยิ่งขึ้น ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก