ธุรกิจ

ทั้งหมด

บัญชี

ภาษี

ธุรกิจ

การใช้งานโปรแกรม

ข่าวสาร

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่สำหรับนายจ้าง

การจ้างงานพนักงานใหม่นั้นนายจ้างมีหน้าที่สำคัญในการดูแลสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ แต่ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนายจ้างต้องทำอะไรบ้างไปดูกัน  ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้พนักงาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องดำเนินการ ไม่เพียงเพราะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน มาดูเหตุผลสำคัญที่นายจ้างควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัติประกันสังคมกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มจ้างงาน หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังพร้อมเงินเพิ่ม 2% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย ซึ่งถ้าบริษัททำตามกฎหมายนี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พนักงานได้ประโยชน์ทำให้อยู่กับบริษัทได้นาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันชีวิตที่ดี ส่งผลให้เกิดความผูกพันกับองค์กรจึงมีโอกาสทำงานกับบริษัทได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดี องค์กรที่ดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี โดยเฉพาะการจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ ช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงาน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่คำนวณจากฐานค่าจ้าง โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายในอัตราเท่ากันคือ 5% ของค่าจ้าง ซึ่งมีฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุด 15,000 บาท ต่อเดือน หากค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท และหากสูงกว่า 15,000 บาท ให้คำนวณจาก 15,000 บาท ตัวอย่าง กรณีพนักงานเข้าใหม่มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท เอกสารจำเป็นระหว่างการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ในการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์ ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วน เพื่อให้การยื่นประกันสังคมออนไลน์เร็วและไม่มีปัญหา โดยเอกสารที่จำเป็นต้องใช้มี ดังนี้  ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมพนักงานใหม่ การยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด โดยมีขั้นตอนในการยื่น ดังนี้  การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร นอกจากจะช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ระบบบริหารจัดการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อากรแสตมป์คืออะไร พร้อมรวมทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้

อากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่จัดเก็บภาษีจากการทำตราสารหรือเอกสารต่าง ๆ ทางกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสตมป์ทั่วไปที่ใช้ในการส่งจดหมาย แต่ในความเป็นจริงอากรแสตมป์มีความสำคัญในด้านกฎหมายและธุรกรรมทางการเงิน การเข้าใจว่าอากรแสตมป์ใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง อากรแสตมป์ คืออะไร อากรแสตมป์ คือ ภาษีตามประมวลรัษฎากรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะจัดเก็บในลักษณะของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับเอกสารราชการและสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย ใบมอบอำนาจ โดยอากรบนเอกสารเหล่านี้เป็นการแสดงว่าภาษีได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว และเอกสารนั้นได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี แถมยังช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายอีกด้วย อากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์ปกติ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่ใช้ในการส่งจดหมายหรือไปรษณีย์ แต่ความจริงแล้วอากรแสตมป์กับแสตมป์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยแสตมป์ หรือ ตราไปรษณียากร มีลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยม โดยจะนำไปใช้ติดบนซองจดหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าบริการส่งไปรษณีย์แล้ว ซึ่งจะมีแสตมป์ทั่วไปกับแสตมป์ที่ระลึกที่มีการออกแบบเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น รูปแบบของอากรแสตมป์ เอกสารที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์มีอะไรบ้าง การทำตราสารหรือเอกสารบางประเภทในประเทศไทยต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าที่ดิน สัญญาจำนอง สัญญาร่วมลงทุน สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สัญญาจ้างทำของ สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มีผลทางกฎหมาย  วิธีการเสียค่าอากรแสตมป์ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์ สรุปบทความ อากรแสตมป์เป็นส่วนสำคัญในการทำตราสารและเอกสารทางกฎหมายในประเทศไทย ความเข้าใจในเรื่องอากรแสตมป์และการใช้แสตมป์อากรอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือจัดการกับเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่องบัญชี การเงิน และภาษีเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหล่านักลงทุน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินเชื่อ OD คืออะไร เรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ต้องรู้

สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อประเภทหนึ่งที่ธนาคารให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ “เงินหมุน” โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ต้องการกู้ยืมเงินเป็นเงินก้อนใหญ่ สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากเกินกว่ายอดเงินที่มีอยู่ ได้ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกิน ซึ่งทำให้สินเชื่อ OD คือตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำหรับหมุนเวียนในระยะสั้น สินเชื่อ OD (Overdraft) คืออะไร? สินเชื่อ OD หรือ เงิน OD คือ การให้กู้เงินในรูปแบบของ “เงินหมุน” โดยที่ธนาคารผู้ให้กู้นั้นจะตั้งวงเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวัน (Current Account) ที่บริษัทได้เปิดไว้กับธนาคารตั้งแต่ต้น โดยสามารถเบิกใช้เงินกู้นี้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งเอาไว้กับธนาคารได้เลย ทั้งยังสามารถทยอยเบิกใช้ในยามที่จำเป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเบิกภายในครั้งเดียวทั้งจำนวน แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่เบิกใช้เกินวงเงินที่ทางธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขการผ่อนชำระนั้นจะเป็นไปที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาสินเชื่อ มีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน ตามจำนวนที่ไปใช้จริงทุกสิ้นเดือน สินเชื่อ OD แตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน Loan อย่างไร สินเชื่อ OD คือ เงินที่กู้มาใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อนำเงินมาหมุนในกรณีฉุกเฉินหมุนเงินไม่ทัน โดยจะเสียดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินที่ใช้ ซึ่งจะแตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน (Loan) อย่างชัดเจน เนื่องจากสินเชื่อเงินก้อน (Loan) จะได้รับมาเป็นเงินก้อนเพื่อนำไปใช้ขยายกิจการหรือลงทุนระยะยาวตามแจ้งไว้กับธนาคาร โดยจะเสียดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกและผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน  ข้อดีของสินเชื่อ OD คืออะไร สินเชื่อ OD มีข้อดีมากมายทำให้ได้รับความนิยมมาก ๆ ในธุรกิจ SME เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอนเงินจากบัญชีตามความต้องการได้ทันที ดอกเบี้ยที่จ่ายตามการใช้งานจริง ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกินเท่านั้น ช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้นทำให้ธุรกิจสามารถรับมือกับการขาดแคลนเงินสดหรือการชำระค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที โดยผู้ประกอบการจะเบิกเงินได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติใหม่อีกทุกครั้ง สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับใคร สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีความต้องการเสริมสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการหมุนเวียนเงินสดสูง เช่น ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง หรือธุรกิจที่ต้องการเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบหรือชำระค่าใช้จ่ายในทันที สินเชื่อ OD ยังเหมาะกับธุรกิจที่มีรายรับไม่แน่นอนหรือมีรอบการชำระเงินยืดเยื้อ เนื่องจากสามารถใช้วงเงิน OD เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้ทันที นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่อง และไม่ต้องการภาระดอกเบี้ยสูงเมื่อไม่ได้ใช้เงินเต็มวงเงิน จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสินเชื่อ OD นี้ด้วย ข้อควรรู้ก่อนกู้สินเชื่อ OD คืออะไร แม้สินเชื่อ OD จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างไร แต่สินเชื่อ OD ก็มีข้อควรระวังให้เราต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจกู้สินเชื่อ OD ด้วยเช่นกัน ดังนี้ สินเชื่อ OD คือ เงินกู้ประเภทที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น การเข้าใจข้อดีและข้อควรระวังก่อนทำการตัดสินใจขอสินเชื่อ OD จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

รหัส Swift code คืออะไร รวมรหัส Swift code จากทุกธนาคาร

รหัส SWIFT CODE เป็นหนึ่งในรหัสที่สำคัญที่สุดในโลกการเงินยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพราะเมื่อเวลาที่คุณต้องการโอนเงินไปยังประเทศอื่น คุณจำเป็นต้องใช้รหัสนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะส่งถึงปลายทางถูกต้องและรวดเร็ว บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจกับรหัส SWIFT CODE พร้อมกับให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรหัสที่ใช้ในแต่ละธนาคารในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถใช้ SWIFT CODE ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากที่สุด รหัส SWIFT CODE คืออะไร? รหัส SWIFT CODEหรือ รหัส BIC (Business Identifier Code) คือ รหัสประจำตัวที่ใช้เจาะจงธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ซึ่งรหัสนี้จะประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขจำนวน 8-11 ตัว โดยรหัสแต่ละตัวก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันไป รวมรหัส SWIFT CODE จากทุกธนาคาร ในประเทศไทย ธนาคารแต่ละแห่งจะมีรหัส SWIFT CODE เฉพาะตัว สำหรับใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของรหัสของแต่ละธนาคารจะมีดังนี้  รหัสธนาคารกรุงเทพ รหัสธนาคารกสิกรไทย รหัสธนาคารไทยพาณิชย์  รหัสธนาคารกรุงไทย รหัสธนาคารทหารไทยธนชาต  รหัสธนาคารกรุงศรีอยุธยา  รหัสธนาคารเกียรตินาคินภัทร รหัสธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  รหัสธนาคารยูโอบี รหัสธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย รหัสธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รหัสธนาคารไอซีบีซี รหัสธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ รหัสธนาคารออมสิน รหัสธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รหัสธนาคารซิตี้แบงค์ SWIFT CODE เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ เพราะเป็นรหัสที่เอาไว้ใช้ระบุว่าการโอนเงินนั้นเป็นของธนาคารใด และด้วยระบบความปลอดภัยที่สูง อีกทั้งมีความแม่นยำ รวมถึงการที่สามารถตรวจสอบได้ทำให้ SWIFT CODE เป็นระบบที่ธนาคารทั่วโลกไว้วางใจ สำหรับข้อมูลในด้านอื่น ๆ คุณสามารถค้นหาจากเว็บไซต์ของธนาคารที่คุณใช้งานโดยตรงได้เลย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

รู้จัก Payment Gateway คืออะไร มีกี่รูปแบบ มีประโยชน์ยังไงบ้าง

การทำธุรกรรมออนไลน์เกิดขึ้นได้ในทุกวินาที และ Payment Gateway ก็ได้กลายมาเป็นตัวช่วยสำคัญที่ทำให้กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสะดวกราบรื่น ซึ่งการมีระบบ Payment Gateway ที่ดีนั้นจะทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจและสะดวกสบายในการซื้อสินค้าจากร้านค้าออนไลน์ของคุณ และนอกจากนี้ Payment Gateway ไม่เพียงแต่จะเป็นสื่อกลางที่ใช้ในการรับชำระเงินเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ และป้องกันการฉ้อโกงได้อีกด้วย Payment Gateway คืออะไร? Payment Gateway คือ ช่องทางการชำระเงิน เปรียบดั่งเส้นทางที่เชื่อมต่อระหว่างร้านค้าออนไลน์ของคุณกับลูกค้าที่ต้องการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต หรือช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เช่น PayPal TrueMoney Wallet เป็นต้น Payment Gateway มีกี่รูปแบบ Payment Gateway มีหลายรูปแบบให้เลือกใช้งาน ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเองต่างกัน ซึ่งการเลือกใช้ Payment Gateway ที่เหมาะสมจะช่วยทำให้เราทำธุรกิจได้ราบรื่นมากขึ้น โดยจำแนกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ Payment Gateway แบบ Bank Payment Gateway แบบธนาคาร หรือที่เรียกกันว่า Payment Gateway ของธนาคารนั้นเป็นระบบการชำระเงินที่พัฒนาโดยธนาคารเอง มีจุดเด่นคือคุณสามารถเชื่อมต่อได้โดยตรงกับระบบของธนาคาร ทำให้การทำธุรกรรมต่าง ๆ เช่น การโอนเงิน การตรวจสอบยอดเงินได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยสูงมาก Payment Gateway แบบ Non-Bank Payment Gateway แบบ Non-Bank หรือ ระบบการชำระเงินออนไลน์ผ่านตัวกลางที่ไม่ใช่ธนาคาร เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับธุรกิจออนไลน์ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ  ในปัจจุบัน โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เนื่องจากมีความยืดหยุ่นสูง สมัครใช้งานง่าย และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าธนาคาร Payment Gateway แบบ Bank มีอะไรบ้าง Payment Gateway แบบธนาคาร หรือ ระบบรับชำระเงินออนไลน์ของธนาคาร เป็นบริการที่ธนาคารต่าง ๆ พัฒนาขึ้นมา เพื่อรองรับธุรกิจในการชำระเงินผ่านช่องทางออนไลน์ของธนาคารได้โดยตรง ซึ่งมีความปลอดภัยและน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งในส่วนของธนาคารต่าง ๆ นั้นจะมีดังนี้ Merchant iPay ธนาคารกรุงเทพ Merchant iPay คือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาโดยธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้ธุรกิจมีช่องทางการรับชำระเงินจากลูกค้าแบบสะดวกมากขึ้น โดยสามารถชำระผ่านเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และโซเชียลมีเดีย ทำให้ธุรกิจมีโอกาสดันยอดขายจากการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น K Payment Gateway ธนาคารกสิกรไทย K Payment Gateway คือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ที่พัฒนาโดยธนาคารกสิกรไทย มีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่งตามมาตรฐานสากล แถมยังปกป้องข้อมูลลูกค้าและธุรกรรมทางการเงินได้ โดยสามารถชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต และ QR Code ได้เลย ทั้ง Thai QR และ QR Code ของ e-Wallet ชื่อดัง เช่น Alipay WeChat Pay และช่องทางอื่น ๆ อีกด้วย Krungsri Biz Payment Gateway ธนาคารกรุงศรี Krungsri Biz Payment Gateway หรือ บริการรับชำระเงินออนไลน์ผ่านบัตรเครดิต ของธนาคารกรุงศรี สามารถสร้างลิงก์ชำระเงินได้เองผ่านระบบ รวมถึงกำหนดจำนวนเงิน วันเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดการใช้งานลิงก์ด้วยตัวเองได้ อีกทั้ง ยังสามารถชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันของธนาคารโดยตรง เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ขายและผู้ซื้อได้ Payment gateway แบบ Non-Bank มีอะไรบ้าง  Payment Gateway แบบ Non-Bank เป็นระบบการชำระเงินที่มีความหลากหลายและยืดหยุ่น จึงได้รับความสนใจจากหลายธุรกิจ แต่การที่จะตัดสินใจเลือกใช้ Payment Gateway แบบ Non-Bank ในแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของธุรกิจเป็นหลัก ซึ่งโดยทั่วไปจะมีให้เลือกดังนี้ Paypal PayPal เป็นระบบการชำระเงินออนไลน์ที่รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต เดบิต และ e-Wallet ต่าง ๆ ใช้งานได้ง่าย และมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แข็งแกร่ง จึงทำให้ได้รับความนิยมและเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก GB PrimePay GB Prime Pay เป็นระบบการชำระเงินออนไลน์ของไทยที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้งานได้กับธุรกิจทุกรูปแบบทั้งการวางขายสินค้าบนเว็บไวต์ หรือการขายผ่านโซเชียลมิเดีย แถมรองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตทุกประเภท Omise Omise Payment Gateway คือ ระบบรับชำระเงินออนไลน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในธุรกิจอีคอมเมิร์ซขนาดเล็กและขนาดกลาง ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รองรับการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, e-Wallet ต่าง ๆ เช่น Alipay WeChat Pay และยังสามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการชำระเงินอื่น ๆ ได้อีกมากมาย 2C2P 2C2P Payment Gateway คือ เป็นบริษัทรับชำระเงินออนไลน์ที่มีสำนักงานใหญ่ในสิงคโปร์ ให้บริการเกตเวย์การชำระเงินแก่ธุรกิจเป็นหลัก ชำระเงินได้หลากหลายช่องทาง มีระบบรักษาความปลอดภัยในการโจรกกรมข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของลูกค้าที่แข็งแกร่ง Pay Solution Pay Solution Payment gateway คือ บริษัทที่ให้บริการระบบรับชำระเงินออนไลน์ในประเทศไทย มีช่องทางรองรับการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต e-Wallet โอนเงินผ่านธนาคาร และการชำระเงินแบบ QR Code นอกจากนี้ก็ยังมีบริการอื่น ๆ เช่น การสร้างใบเสร็จ การติดตามยอดขาย และการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ อีกด้วย Payment Gateway คือ กุญแจสำคัญ ในการอำนวยความสะดวกให้ผู้ขายและผู้ซื้อทำธุรกรรมออนไลน์ง่ายขึ้นทั้งนี้การที่จะตัดสินใจเลือกใช้ Payment Gateway รูปแบบไหนนั้น จำเป็นต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับธุรกิจของคุณร่วมด้วย เพราะจะเป็นการช่วยเสริมความมั่นใจให้กับลูกค้า และทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตได้ดีและมั่นคงมากยิ่งขึ้น PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีระบบ Payment Gateway ที่ช่วยเชื่อมโยงการรับชำระเงินออนไลน์ให้กับธุรกิจของคุณอย่างง่ายดายและปลอดภัย คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการชำระเงินทั้งรูปแบบบัตรเครดิตและบัตรเดบิตได้ในระบบเดียว ทำให้กระบวนการชำระเงินสะดวกสบายทั้งสำหรับคุณและลูกค้า ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

17 min

กิจการเจ้าของคนเดียวคืออะไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง

กิจการเจ้าของคนเดียว คือ ธุรกิจที่มีเจ้าของในการตัดสินใจและบริหารธุรกิจเพียงคนเดียว ซึ่งต้องรับผิดชอบทุกเรื่องของธุรกิจ ทั้งด้านการเงิน การบริหาร การตลาด หรือการพัฒนาธุรกิจก็ตาม ซึ่งเป็นรูปแบบธุรกิจที่พบได้มากในกลุ่มผู้ที่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจใหม่ หรือผู้ที่ต้องการทำธุรกิจขนาดเล็ก เพราะสามารถควบคุมได้โดยง่าย ทั้งนี้ในปัจจุบันกิจการประเภทนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากใน แต่กิจการรูปแบบนี้ก็มีความท้าทายที่ต้องเผชิญอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน เราจึงจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับกิจการเจ้าของคนเดียวว่าคืออะไร วิธีการจัดตั้งกิจการเจ้าของคนเดียว และกิจการเจ้าของคนเดียวข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง ไปดูกัน  กิจการเจ้าของคนเดียวคืออะไร? กิจการเจ้าของคนเดียว คือ ธุรกิจที่ดำเนินการโดยบุคคลธรรมดาเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารและเจ้าของกิจการ ซึ่งคนคนเดียวนี้จะเป็นผู้ที่ต้องตัดสินใจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ โดยจะต้องรับผิดชอบปัญหาหรือหนี้สินทั้งหมดของธุรกิจที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย ซึ่งการดำเนินธุรกิจแบบนี้เป็นรูปแบบที่ทำได้ง่ายและค่อนข้างที่นิยมในหมู่ผู้ประกอบการรายย่อยอย่างมาก กิจการเจ้าของคนเดียว ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง? กิจการเจ้าของคนเดียว หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าธุรกิจบุคคลธรรมดานั้น เป็นรูปแบบธุรกิจที่เริ่มต้นง่ายที่สุด โดยมีคุณเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารกิจการเพียงคนเดียว ไม่ต้องมีหุ้นส่วนหรือจดทะเบียนบริษัทใด ๆ ทั้งสิ้น ทำให้การเริ่มต้นธุรกิจสะดวกในการตัดสินใจหรือวางแผนธุรกิจได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้การทำกิจการเจ้าของคนเดียวก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ที่กำลังเริ่มต้นควรพิจารณาทุกด้านให้รอบคอบดังนี้ ข้อดีของกิจการเจ้าของคนเดียว กิจการเจ้าของคนเดียวนั้นมีข้อดีหลายประการที่ทำให้เป็นรูปแบบธุรกิจที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง ซึ่งในส่วนของข้อดีมีดังนี้ ข้อเสียของกิจการเจ้าของคนเดียว ถึงแม้กิจการเจ้าของคนเดียวจะมีข้อดีตามข้างต้น แต่ก็มีข้อเสียที่ต้องพิจารณาเพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบก่อนเริ่มต้นทำธุรกิจเช่นกัน สำหรับข้อเสียที่กิจการเจ้าของคนเดียวควรรู้มีดังนี้ เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเป็นเจ้าของคนเดียวกับการเป็นผู้ประกอบการ แม้ว่าคำว่า “เจ้าของคนเดียว” และ “ผู้ประกอบการ” อาจมีการใช้สลับกันอยู่เป็นประจำ แต่ความหมายของสองคำนี้แตกต่างกันและบ่งบอกถึงความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน ดังนี้ การดำเนินธุรกิจ 1. ขอบเขตความรับผิดชอบ 2. ทัศนคติต่อธุรกิจ 3. การใช้ทรัพยากร 4. ความเสี่ยง 5. การเติบโต จุดมุ่งหมาย จุดมุ่งหมายของเจ้าของคนเดียว จุดมุ่งหมายของผู้ประกอบการ การตัดสินใจ เจ้าของคนเดียว ผู้ประกอบการ ความเสี่ยงทางการเงิน เจ้าของคนเดียว ผู้ประกอบการ อาชีพอิสระนับว่าเป็นการทำกิจการเจ้าของคนเดียวไหม? การที่จะนับอาชีพอิสระว่าเป็นกิจการเจ้าของคนเดียวหรือไม่ จะพิจารณาจากลักษณะและขอบเขตของงานที่ทำเป็นหลัก เพราะอาชีพอิสระบางประเภทอาจไม่ถือว่าเป็นกิจการเจ้าของคนเดียว เช่น พนักงานบริษัทที่รับงานนอกเวลา หรือผู้ที่ทำกิจกรรมอดิเรกแล้วนำไปขายเป็นรายได้เสริม เป็นต้น แต่ถ้าหากอาชีพอิสระของคุณมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับธุรกิจทั่วไป เช่น มีลูกค้า มีรายรับรายจ่าย และต้องเสียภาษี คุณก็สามารถถือว่าตัวเองเป็นเจ้าของธุรกิจได้เช่นกัน กิจการเจ้าของคนเดียวมีข้อดีมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีความยืดหยุ่น แต่ก็มีเรื่องให้ที่ต้องระมัดระวังอยู่ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในเรื่องของภาระหนี้สินและความเสี่ยงทางการเงิน หากคุณต้องการเริ่มต้นกิจการเจ้าของคนเดียว สิ่งสำคัญที่ควรมีก็คือการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน รู้จักบริหารความเสี่ยง ปรับตัวได้ทันตามการเปลี่ยนแปลง และพร้อมพัฒนาความรู้และข้อผิดพลาดเสมอ เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและมีความมั่นคงในอนาคตได้อย่างยั่งยืน PEAK โปรแกรงบัญชีออนไลน์ ช่วยจัดการบัญชีให้กิจการเจ้าของคนเดียวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบบัญชีออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและครบวงจร คุณสามารถติดตามรายรับ-รายจ่าย บริหารเงินสด และดูรายงานทางการเงินได้แบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณวิเคราะห์ผลการดำเนินงานและตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ ระบบ PEAK ยังรองรับการยื่นภาษีอัตโนมัติ ลดภาระงานเอกสารและข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น ด้วย PEAK คุณจะมีเวลามากขึ้นในการพัฒนาธุรกิจ และสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างกลยุทธ์เพื่อความเติบโตได้อย่างมั่นใจ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

เข้าใจเงินเกษียณอายุคืออะไร พร้อมวิธีคิดเงินเกษียณ 400 วัน

การวางแผนเกษียณเป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่มนุษย์ทำงานทุกคนไม่ควรมองข้าม เพราะถ้าหากคุณเริ่มวางแผนตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็จะสามารถจัดการกับรายได้และรายจ่ายหลังเกษียณได้ดีมากขึ้น ซึ่งหลายคนมักจะเริ่มต้นวางแผนตอนที่พวกเขารู้สึกว่าช่วงเวลาเกษียณกำลังใกล้เข้ามา แต่การเริ่มต้นวางแผนเก็บเงินเกษียณล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรรีบทำให้เร็วที่สุด เพราะชีวิตหลังเกษียณไม่ใช่แค่เรื่องของการหยุดทำงานเท่านั้น แต่คือการเริ่มต้นชีวิตในรูปแบบใหม่ที่คุณควรพร้อมด้วยความมั่นคงทางการเงิน และลดความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุได้เป็นอย่างดี ก่อนดูวิธีคิดเงินเกษียณ 400 วัน รู้จักเงินเกษียณอายุคืออะไรก่อน  เงินเกษียณ คือ เงินที่คุณสะสมไว้ตลอดช่วงเวลาการทำงานเพื่อใช้ในวัยหลังเกษียณ ซึ่งเป็นวัยที่รายได้จากการทำงานลดลงหรือหมดไป ดังนั้น การมีเงินเกษียณอายุจึงจำเป็นในการใช้ชีวิตอย่างมาก เพื่อให้คุณสามารถดำเนินชีวิตในวัยหลังเกษียณจากการทำงาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายและไม่ต้องหวังพึ่งพาผู้อื่นให้ลำบากใจ เงินเกษียณอายุกรณีบริษัทไม่มีการกำหนดอายุเกษียณ? เข้าใจง่าย ๆ คือ ถ้าบริษัทคุณไม่มีการกำหนดอายุเกษียณที่ชัดเจน คุณก็สามารถเลือกที่จะเกษียณได้เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ โดยไม่จำเป็นต้องรอถึงอายุที่บริษัทกำหนด (ถ้ามี) เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ เพราะตามกฎหมายแรงงานไทยกำหนดให้ลูกจ้างที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ มีสิทธิที่จะขอเกษียณอายุ แม้ว่าบริษัทจะไม่มีการกำหนดอายุเกษียณไว้ก็ตาม แต่ยังจะได้รับสิ่งเหล่านี้เมื่อเกษียณอายุ  วิธีคิดเงินเกษียณ 400 วัน เงินเกษียณ 400 วัน จะได้รับเมื่อพนักงานทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป โดยจะคำนวณจากเงินเดือนในเดือนสุดท้ายที่ทำงาน คูณด้วยจำนวน 400 วัน โดยคุณสามารถใช้สูตรพื้นฐานเช่น “ค่าใช้จ่ายต่อวัน x จำนวนวันที่ต้องการคำนวณ” เพื่อกำหนดเป้าหมายเงินเกษียณ แต่สิ่งสำคัญคือต้องเผื่อค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่ารักษาพยาบาลที่อาจสูงขึ้น หรือค่าครองชีพที่ขึ้นตามเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม เงินเกษียณ 400 วัน เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเงินที่คุณจะได้รับเมื่อเกษียณ ซึ่งคุณอาจมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือสวัสดิการอื่น ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้การคำนวณอาจมีรายละเอียดแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท หรือตามข้อกำหนดในสัญญาจ้างงาน โดยเป็นกฎหมายที่กำหนดสิทธิประโยชน์ขั้นต่ำที่ลูกจ้างจะได้รับเมื่อเกษียณอายุ การมีแผนเกษียณที่ดีจะช่วยทำให้คุณสามารถวางแผนใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ มีความมั่นคง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการเงินในอนาคต อีกทั้งการมีแผนที่ชัดเจนทำให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับชีวิตหลังเกษียณได้อย่างเต็มที่โดยที่ไม่ต้องเป็นภาระให้กับผู้อื่น ดังนั้นการวางแผนเกษียณจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม ซึ่งการเตรียมตัวที่ดีโดยเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้จะช่วยนำพาคุณไปสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข ความมั่นคง และความสงบในชีวิตช่วงหลังเกษียณอย่างแน่นอน ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

11 min

รู้จักทางเลือกของแหล่งเงินทุน Crowdfunding คืออะไร

ในยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกัน จึงทำให้การลงทุนไม่ใช่เรื่องของคนมีเงินอีกต่อไป Crowdfunding หรือการระดมทุนจากประชาชนทั่วไป จึงเป็นเหมือนกับการทำให้ทุกคนมีเปิดโอกาสเป็นหนึ่งในการผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีที่กำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลกในตอนนี้ คุณจะได้รู้จักกับ Crowdfunding โดยจะเริ่มตั้งแต่ Crowdfunding คืออะไร มีกี่ประเภท ข้อดีข้อเสียมีอะไรบ้าง พร้อมทั้งแนะนำการเตรียมตัวสำหรับการลงทุนในรูปแบบนี้ให้ประสบความสำเร็จ ผ่านเนื้อหาในบทความตามด้านล่างนี้เลย Crowdfunding คืออะไร? Crowdfunding คือ การระดมทุนสาธารณะจากผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยจะดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อนำเงินที่ได้ไปสนับสนุนโครงการหรือธุรกิจต่าง ๆ เช่น การสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ การผลิตสินค้าใหม่ การเริ่มต้นธุรกิจ หรือแม้แต่การช่วยเหลือสังคม เป็นต้น ซึ่งอาจจะใช้ Crowdfunding Platform คือ แพลตฟอร์มคราวด์ฟันดิงที่เป็นตัวกลางระหว่างธุรกิจและนักลงทุน Crowdfunding มีกี่ประเภท การระดมทุนแบบ Crowdfunding นั้นมีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีลักษณะและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แต่โดยหลัก ๆ แล้วสามารถแบ่งเป็นรูปแบบหลักได้ดังนี้ Donation Based Crowdfunding  การระดมทุนแบบบริจาค เป็นรูปแบบหนึ่งของ Crowdfunding ที่ผู้สนับสนุนบริจาคเงินโดยไม่มีการคาดหวังผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม เช่น สินค้าหรือบริการ เป็นการสนับสนุนโครงการด้วยความตั้งใจช่วยเหลือหรือสนับสนุนไอเดียหรือวัตถุประสงค์ของโครงการนั้น ซึ่งจะมีจุดเด่นดังนี้ Reward Based Crowdfunding  การระดมทุนแบบแลกกับสินค้าหรือของที่ระลึกเป็นสิ่งตอบแทน เป็นรูปแบบหนึ่งของ Crowdfunding ที่ผู้สนับสนุนจะได้รับสินค้าหรือของที่ระลึกตามจำนวนเงินที่บริจาค เป็นการสนับสนุนโครงการและได้รับผลตอบแทนที่เป็นรูปธรรม มีจุดเด่นหลายด้านดังนี้ Peer to Peer Lending  การระดมทุนแบบกู้ยืมระหว่างบุคคล หรือ Peer-to-Peer Lending เป็นรูปแบบหนึ่งของ Crowdfunding ที่ผู้สนับสนุนให้กู้เงินแก่ผู้ริเริ่มโครงการ และจะได้รับดอกเบี้ยตอบแทน เป็นการระดมทุนโดยตรงจากบุคคลทั่วไปแทนการผ่านสถาบันการเงิน โดยมีจุดเด่นดังนี้ Investment Crowdfunding การระดมทุนในรูปแบบหลักทรัพย์ เป็นรูปแบบหนึ่งของ Crowdfunding ที่ผู้สนับสนุนจะได้รับส่วนแบ่งเป็นเจ้าของในธุรกิจหรือหุ้นกู้ เป็นการลงทุนในโครงการที่เล็งเห็นได้ว่ามีโอกาสการเติบโตจนทำกำไรได้ดีในระยะยาว ลักษณะเด่นของการระดมทุนในรูปแบบหลักทรัพย์มีดังนี้ ใครได้ประโยชน์จาก Crowdfunding การระดมทุนแบบ Crowdfunding นั้นให้ประโยชน์กับหลายฝ่าย ทั้งผู้ระดมทุน ผู้สนับสนุน และสังคมโดยรวม ผู้ที่ได้ประโยชน์จาก Crowdfunding ได้แก่ ข้อดีของการใช้ Crowdfunding การระดมทุนแบบ Crowdfunding นั้นมีข้อดีหลายประการ ทั้งสำหรับผู้ระดมทุน ผู้สนับสนุน และสังคมโดยรวม ซึ่งในแต่ละฝ่ายนั้นจะมีข้อดีด้านต่าง ๆ ดังนี้ การระดมทุนแบบ Crowdfunding ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่มีประโยชน์กับหลาย ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ระดมทุน ผู้สนับสนุน หรือสังคมโดยรวมก็ตาม ซึ่งปัจจัยต่าง ๆ ล้วนทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ อีกทั้งยังสร้างโอกาสทางธุรกิจ และส่งเสริมให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

7 แฟรนไชส์น่าลงทุน 2567 รวมธุรกิจมาใหม่น่าลงทุน

ปี 2567 เป็นปีทองของการลงทุนแฟรนไชส์ที่มาพร้อมโอกาสทางธุรกิจมากมาย การเลือกแฟรนไชส์น่าลงทุนที่เหมาะสมจึงเป็นโอกาสสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก เราจึงได้รวบรวมแฟรนไชส์น่าลงทุนที่มาแรงในปี 2567 มาให้แล้ว มีทั้งแฟรนไชส์ด้านอาหาร บริการ และค้าปลีก ที่ใช้เงินลงทุนไม่มากแต่มีโอกาสเติบโตสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจแฟรนไชส์และต้องการทีมงานที่จะคอยมอบคำปรึกษาให้ตลอดการดำเนินธุรกิจ ธุรกิจแฟรนไชส์น่าลงทุน คืออะไร ธุรกิจแฟรนไชส์เป็นรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่เจ้าของแบรนด์ (แฟรนไชส์ซอร์) อนุญาตให้ผู้สนใจลงทุน (แฟรนไชส์ซี) ใช้ชื่อแบรนด์ เครื่องหมายการค้า และระบบการดำเนินธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว โดยเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์จะสนับสนุนผู้ลงทุนในด้านต่าง ๆ เช่น การอบรม ระบบการจัดการ สูตรผลิตภัณฑ์ และการตลาด แลกกับค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่ารอยัลตี้ตามที่ตกลง ธุรกิจแฟรนไชส์น่าลงทุน คือ ธุรกิจที่ความเสี่ยงในการเริ่มต้นธุรกิจค่อนข้างน้อย ประหยัดเวลาในการสร้างแบรนด์ และมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าการเริ่มต้นธุรกิจเอง เพราะใช้โมเดลธุรกิจที่พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จ 7 แฟรนไชส์น่าลงทุน 2567 สำหรับคนอยากเปิดร้าน ในยุคที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว การเลือกแฟรนไชส์น่าลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เรารวบรวม 7 แฟรนไชส์ที่น่าสนใจในปี 2567 ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ใช้เงินลงทุนไม่สูง และมีโอกาสคืนทุนเร็วมาฝากกัน 1. แฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก-เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญ ร้านสะดวกซักเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตในปี 2567 ด้วยไลฟ์สไตล์คนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายและประหยัดเวลา โดยเฉพาะในย่านคอนโดมิเนียม หอพัก และชุมชนที่พักอาศัย การลงทุนเริ่มต้นประมาณ 300,000-1,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านและจำนวนเครื่องซักผ้า ข้อดีคือเป็นธุรกิจที่ดูแลง่าย ไม่ต้องจ้างพนักงานประจำ มีรายได้สม่ำเสมอ และคืนทุนเร็วประมาณ 1-2 ปี แฟรนไชส์จะช่วยในเรื่องการเลือกทำเลที่ตั้ง การติดตั้งระบบ และเครื่องซักผ้าที่ต้องการการบำรุงรักษา 2. แฟรนไชส์สุกี้ สุกี้เป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานตลอดทั้งปี แฟรนไชส์สุกี้จึงเป็นธุรกิจที่น่าสนใจในปี 2567 ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 500,000-2,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านและแบรนด์ ข้อดีคือมีสูตรและวัตถุดิบมาตรฐาน ระบบการจัดการร้านที่เป็นระบบ และแบรนด์เป็นที่รู้จัก ทำให้สร้างยอดขายได้ง่าย นอกจากนี้ยังสามารถขยายช่องทางการขายผ่านเดลิเวอรี่ได้ ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2-3 ปี 3. แฟรนไชส์ขนมปังนมสด ขนมปังนมสดกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปี 2567 เพราะเป็นอาหารว่างที่รับประทานได้ทุกเวลา ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 200,000-500,000 บาท ข้อดีคือมีสูตรเฉพาะ อุปกรณ์ และวัตถุดิบที่มีมาตรฐาน สามารถเปิดได้ทั้งรูปแบบร้านค้าและคีออส มีโอกาสขยายสาขาได้ง่าย และมีกำไรต่อชิ้นสูง ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 1-2 ปี แฟรนไชส์จะสนับสนุนด้านการอบรมพนักงาน การควบคุมคุณภาพ และการทำการตลาด 4. แฟรนไชส์ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟ ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเป็นธุรกิจที่น่าลงทุนในปี 2567 เพราะได้รับความนิยมตลอดทั้งปี เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 300,000-800,000 บาท รวมเครื่องทำไอศกรีมและอุปกรณ์ ข้อดีคือมีกำไรต่อแก้วสูง ต้นทุนการผลิตต่ำ สามารถเปิดได้ทั้งรูปแบบร้านและคีออส และมีโอกาสสร้างรายได้เสริมจากท็อปปิ้งและเมนูพิเศษ ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 1-2 ปี แฟรนไชส์จะช่วยในเรื่องสูตร การอบรม และการพัฒนาเมนูใหม่ ๆ 5. แฟรนไชส์ชาไข่มุก ชาไข่มุกยังคงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมในปี 2567 การลงทุนแฟรนไชส์ชาไข่มุกใช้เงินเริ่มต้นประมาณ 300,000-1,000,000 บาท ข้อดีคือมีสูตรเฉพาะที่ได้รับความนิยม วัตถุดิบคุณภาพดี ระบบการจัดการร้านที่เป็นมาตรฐาน และมีโอกาสขยายช่องทางขายผ่านแอพเดลิเวอรี่ ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 1-2 ปี แฟรนไชส์จะสนับสนุนด้านการควบคุมคุณภาพ ฝึกอบรมำนักงาน และการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง 6. แฟรนไชส์ร้านทุกอย่างราคาเดียว ร้านทุกอย่างราคาเดียวกำลังเป็นที่นิยมในปี 2567 เพราะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ต้องการความคุ้มค่า เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 500,000-2,000,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดร้านและทำเล ข้อดีคือมีสินค้าหลากหลาย การบริหารจัดการง่าย มีระบบสต๊อกที่เป็นมาตรฐาน และมีฐานลูกค้าที่ชัดเจน ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2-3 ปี แฟรนไชส์จะช่วยในเรื่องการคัดเลือกสินค้า การจัดการสต๊อกและการทำโปรโมชั่น 7. แฟรนไชส์คาร์แคร์ ธุรกิจคาร์แคร์เป็นอีกหนึ่งแฟรนไชส์น่าลงทุนในปี 2567 เพราะตลาดรถยนต์ในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง เงินลงทุนเริ่มต้นประมาณ 500,000-2,000,000 บาท ข้อดีคือมีระบบการให้บริการที่เป็นมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์คุณภาพดี มีฐานลูกค้าประจำ และสามารถขยายบริการเสริมได้หลากหลาย ระยะเวลาคืนทุนประมาณ 2-3 ปี แฟรนไชส์จะสนับสนุนด้านการฝึกอบรมพนักงาน การควบคุมคุณภาพ และการทำการตลาด สรุปบทความ การเลือกแฟรนไชส์น่าลงทุนในปี 2567 ต้องพิจารณาทั้งเงินลงทุน ความเชี่ยวชาญ และความต้องการของตลาด โดยแต่ละธุรกิจมีจุดเด่นและโอกาสเติบโตที่แตกต่างกัน ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและเลือกแฟรนไชส์ที่เหมาะกับตนเอง และที่สำคัญการทำบัญชีธุรกิจอย่างถูกต้องแม่นยำก็ช่วยทำให้เราเห็นผลกำไรชัดเจน สำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ไหนไม่อยากยุ่งยากกับการทำบัญชีร้านหรือเอกสารในการยื่นภาษีเอง PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระคืออะไร สำคัญอย่างไรต่ออาชีพอิสระ

การทำงานในยุคดิจิทัลทำให้อาชีพอิสระเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่การจะพิสูจน์ว่าแหล่งที่มาของรายได้มีความน่าเชื่อถือขนาดไหนอาจเป็นเรื่องที่ยาก หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระจึงเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยรับรองสถานะทางการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกในการขอสินเชื่อหรือติดต่อราชการ เราจึงจะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับหนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระว่ามีความสำคัญอย่างไร พร้อมตอบคำถามว่าใบนี้ขอได้ที่ไหนบ้าง  หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระคืออะไร หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระ หรือที่รู้จักในชื่อ “เอกสาร 50 ทวิ” เป็นเอกสารทางการที่ออกโดยผู้ว่าจ้างเพื่อรับรองรายได้ของผู้ประกอบอาชีพอิสระ เอกสารนี้แสดงรายละเอียดการหักภาษี ณ ที่จ่ายจากค่าตอบแทนที่ได้รับ ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่สถาบันการเงินและหน่วยงานราชการยอมรับ หรือเปรียบเสมือนใบรับรองเงินเดือนของพนักงานประจำ แต่ปรับให้เหมาะกับรูปแบบการทำงานแบบอิสระ เอกสาร 50 ทวิ สำคัญอย่างไร เอกสาร 50 ทวิ เป็นมากกว่าแค่กระดาษรับรองรายได้ แต่เป็นหลักฐานที่แสดงถึงความมีตัวตนในระบบภาษี และการขอคืนภาษี รวมถึงเพิ่มความน่าเชื่อถือในการประกอบอาชีพ และเอกสารนี้จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการพิสูจน์ความสามารถทางการเงิน สามารถใช้ทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น การขอสินเชื่อ การเปิดบัญชี หรือการลงทุนได้ เอกสาร 50 ทวิ มีประโยชน์อย่างไร เอกสาร 50 ทวิ เปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่เปิดโอกาสทางการเงิน ช่วยให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระเข้าถึงบริการทางการเงินได้เทียบเท่ากับพนักงานประจำ ทั้งการขอสินเชื่อต่าง ๆ และการทำบัตรเครดิต นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอวีซ่า การทำประกันชีวิต หรือการลงทุนในกองทุนต่าง ๆ ทำให้การประกอบอาชีพอิสระมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระมีข้อมูลอะไรบ้าง หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระถือเป็นเอกสารสำคัญ ข้อมูลต้องมีความถูกต้องเพื่อการสร้างความน่าเชื่อให้กับอาชีพอิสระ โดยเฉพาะการติดต่อสถาบันการเงินหรือหน่วยงานราชการ ดังนั้น ผู้ประกอบอาชีพอิสระควรตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลสำคัญดังนี้  หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระมีอายุการใช้งานกี่เดือน การใช้หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระเป็นเอกสารสำคัญที่ต้องมีความเป็นปัจจุบัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรม แต่ละหน่วยงานจะกำหนดอายุหนังสือรับรองเงินเดือนแตกต่างกันไป ดังนั้น การเตรียมเอกสารควรคำนึงถึงระยะเวลาที่กำหนดในแต่ละกรณี ดังนี้ สามารถขอหนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระได้จากที่ไหน ผู้ประกอบอาชีพอิสระสามารถขอหนังสือรับรองเงินเดือนได้จากผู้ว่าจ้างโดยตรง เมื่อมีการจ่ายค่าตอบแทนและมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ผู้ว่าจ้างมีหน้าที่ออกเอกสาร 50 ทวิ ให้ทันที โดยเอกสารนี้จะระบุรายละเอียดการหักภาษี และจำนวนเงินที่ได้รับ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการยืนยันรายได้และการจัดการภาษีประจำปี นอกจากนี้ ยังสามารถขอย้อนหลังได้หากมีความจำเป็น สรุปบทความ หนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระเป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยยืนยันรายได้และสถานะทางการเงิน เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบอาชีพอิสระเข้าถึงบริการทางการเงินและสร้างความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ส่วนเจ้าของธุรกิจเองที่ไม่อยากวุ่นวายกับการทำหนังสือรับรองเงินเดือนอาชีพอิสระ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

KPI คืออะไร วิธีวัดผลและความสำคัญต่อองค์กร

Key Performance Indicators คือ เครื่องมือในการวัดผลธุรกิจที่ดีที่องค์กรนิยมใช้โดยเฉพาะในยุคที่มีการแข่งขันทางธุรกิจสูง เพราะสามารถช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่ง KPI จะมีการวัดผลอย่างไร ทำไมสำคัญกับองค์กรไปดูกัน KPI หรือ Key Performance Indicators คืออะไร KPI หรือ Key Performance Indicators คือ เป็นวิธีวัดผลการทำธุรกิจในด้านต่าง ๆ ขององค์กร ด้วยการดูว่าผลตรงกับเป้าหมายที่กำหนดไว้ไหม ทำให้องค์กรสามารถติดตามความก้าวหน้า ประเมินประสิทธิภาพ และปรับปรุงการทำธุรกิจได้ดีมากขึ้น โดยแต่ละตัวอักษรมีความหมาย ดังนี้  ประเภทการวัดผล KPI การวัดผลการปฏิบัติงานจะขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและเป้าหมายที่ต้องการวัด โดยตัวชี้วัด KPI แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ การวัดผลทางตรงและการวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางตรง การวัดผลทางตรงเป็นการประเมินผลงานที่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้ชัดเจน ไม่ต้องตีความหรือแปลผล เช่น ยอดขาย จำนวนชิ้นงานที่ผลิตได้ อัตราของเสีย หรือจำนวนลูกค้าใหม่ ข้อดีของการวัดผลแบบนี้คือเราสามารถตรวจสอบได้และมีหลักฐานอ้างอิงชัดเจน ทำให้การประเมินผลมีความโปร่งใส การวัดผลทางอ้อม การวัดผลทางอ้อมเป็นการประเมินผลงานที่ไม่สามารถวัดเป็นตัวเลขได้โดยตรง ต้องอาศัยการสังเกต การประเมิน หรือการสำรวจความคิดเห็น เช่น การให้บริการ ความประทับใจของลูกค้า หรือการมีผู้นำ การวัดผลประเภทนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากขึ้นอยู่กับมุมมองและการตีความของผู้ประเมิน ความสำคัญต่อองค์กร KPI มีความสำคัญต่อองค์กรในหลายด้าน สามารถช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าในการทำงานของพนักงานและประเมินความสำเร็จได้อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ ยังใช้ประเมินผลงานของพนักงาน การพิจารณาผลตอบแทน และการวางแผนพัฒนาบุคลากร รวมถึงช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการจัดสรรทรัพยากรขององค์กร ใช้หลักการ SMART ในการตั้ง KPI หลักการ SMART เป็นแนวทางมาตรฐานในการกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพ มาดูรายละเอียดแต่ละองค์ประกอบ ตัวอย่างการตั้ง KPI ในองค์กร การกำหนด key performance indicators เป็นการสร้างมาตรฐานการวัดผลที่ตรงตามเป้าหมายขององค์กร มาดูตัวอย่างการตั้ง KPI ในแต่ละแผนก  ฝ่ายขายและการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายบุคคล ข้อควรระวังในการใช้ KPI การกำหนดและใช้ KPI (Key Performance Indicators) เป็นการวัดผลความสำเร็จขององค์กรหรือโครงการ แต่หากใช้อย่างไม่ระมัดระวัง อาจเกิดการตีความที่ผิดพลาด หรือการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการทำงานโดยรวม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าใจถึงข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้การใช้ KPI สอดคล้องกับเป้าหมายที่แท้จริง และช่วยพัฒนาองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ประโยชน์ของการใช้ KPI ที่ดี KPI (Key Performance Indicators) เป็นตัวชี้วัดที่ช่วยให้องค์กรรู้ความคืบหน้าของการทำธุรกิจว่าได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไหม การใช้ KPI ที่ออกแบบมาอย่างเหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยวัดผลสำเร็จ แต่ยังสร้างแรงจูงใจให้ทีมงานพัฒนาการทำงานได้ดียิ่งขึ้น การเข้าใจถึงประโยชน์ของการใช้ KPI จะช่วยเพิ่มโอกาสในการบริหารจัดการและพัฒนาองค์กรในระยะยาว การใช้ KPI จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน แต่ต้องระวังความเหมาะสมและความเป็นกลางในการประเมินผล เพื่อคนในองค์กรอยากพัฒนาเปลี่ยนแปลงการทำงานจริง ๆ ซึ่ง Key Performance Indicators คือ เครื่องมือที่จะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ หากใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

ข้อควรรู้เกี่ยวกับการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่สำหรับนายจ้าง

การจ้างงานพนักงานใหม่นั้นนายจ้างมีหน้าที่สำคัญในการดูแลสวัสดิการพื้นฐาน โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ แต่ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้นได้ ซึ่งนายจ้างต้องทำอะไรบ้างไปดูกัน  ทำไมเจ้าของธุรกิจต้องประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ให้พนักงาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นหน้าที่สำคัญที่นายจ้างต้องดำเนินการ ไม่เพียงเพราะเป็นข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่ยังส่งผลดีต่อทั้งองค์กรและพนักงาน มาดูเหตุผลสำคัญที่นายจ้างควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ กฎหมายกำหนด พระราชบัญญัติประกันสังคมกำหนดให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ภายใน 30 วันนับจากวันที่เริ่มจ้างงาน หากไม่ดำเนินการจะมีโทษปรับสูงสุด 20,000 บาท นอกจากนี้ ยังต้องจ่ายเงินสมทบย้อนหลังพร้อมเงินเพิ่ม 2% ต่อเดือนของเงินสมทบที่ต้องจ่าย ซึ่งถ้าบริษัททำตามกฎหมายนี้ก็จะช่วยป้องกันปัญหาและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พนักงานได้ประโยชน์ทำให้อยู่กับบริษัทได้นาน การขึ้นทะเบียนประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ที่ครอบคลุมทั้งค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนการขาดรายได้ สิทธิประโยชน์กรณีคลอดบุตร ทุพพลภาพ และเสียชีวิต ทำให้พนักงานรู้สึกมั่นคงในการทำงาน มีหลักประกันชีวิตที่ดี ส่งผลให้เกิดความผูกพันกับองค์กรจึงมีโอกาสทำงานกับบริษัทได้ยาวนานขึ้น สร้างภาพลักษณ์ที่ดี องค์กรที่ดูแลสวัสดิการพนักงานอย่างดี โดยเฉพาะการจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่อย่างรวดเร็วและถูกต้อง จะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในฐานะนายจ้างที่มีความรับผิดชอบ ช่วยดึงดูดบุคลากรที่มีคุณภาพให้เข้ามาร่วมงาน และสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาของลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ วิธีการคำนวณเงินสมทบกองทุนประกันสังคม การคำนวณเงินสมทบประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่คำนวณจากฐานค่าจ้าง โดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องจ่ายในอัตราเท่ากันคือ 5% ของค่าจ้าง ซึ่งมีฐานค่าจ้างขั้นต่ำ 1,650 บาท และสูงสุด 15,000 บาท ต่อเดือน หากค่าจ้างต่ำกว่า 1,650 บาท ให้คำนวณจาก 1,650 บาท และหากสูงกว่า 15,000 บาท ให้คำนวณจาก 15,000 บาท ตัวอย่าง กรณีพนักงานเข้าใหม่มีเงินเดือน 20,000 บาท การคำนวณจะใช้ฐานสูงสุดที่ 15,000 บาท เอกสารจำเป็นระหว่างการยื่นประกันสังคมออนไลน์ ในการยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์ ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วน เพื่อให้การยื่นประกันสังคมออนไลน์เร็วและไม่มีปัญหา โดยเอกสารที่จำเป็นต้องใช้มี ดังนี้  ขั้นตอนการยื่นประกันสังคมพนักงานใหม่ การยื่นประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่ผ่านระบบออนไลน์มีขั้นตอนที่ชัดเจนและไม่ซับซ้อน แต่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด โดยมีขั้นตอนในการยื่น ดังนี้  การจัดการประกันสังคมพนักงานเข้าใหม่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร นอกจากจะช่วยให้พนักงานได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงปัญหาและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการใช้ระบบบริหารจัดการพนักงานที่มีประสิทธิภาพ จะช่วยให้กระบวนการนี้ง่ายและรวดเร็วขึ้น โดย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

7 min

อากรแสตมป์คืออะไร พร้อมรวมทุกเรื่องสำคัญที่ต้องรู้

อากรแสตมป์เป็นภาษีรูปแบบหนึ่งที่จัดเก็บภาษีจากการทำตราสารหรือเอกสารต่าง ๆ ทางกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสตมป์ทั่วไปที่ใช้ในการส่งจดหมาย แต่ในความเป็นจริงอากรแสตมป์มีความสำคัญในด้านกฎหมายและธุรกรรมทางการเงิน การเข้าใจว่าอากรแสตมป์ใช้ทำอะไรได้บ้าง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่เราควรเรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ที่มีกิจการเป็นของตัวเอง อากรแสตมป์ คืออะไร อากรแสตมป์ คือ ภาษีตามประมวลรัษฎากรรูปแบบหนึ่ง ซึ่งจะจัดเก็บในลักษณะของดวงแสตมป์ที่ใช้สำหรับเอกสารราชการและสัญญาต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย ใบมอบอำนาจ โดยอากรบนเอกสารเหล่านี้เป็นการแสดงว่าภาษีได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว และเอกสารนั้นได้รับการรับรองตามกฎหมาย สามารถช่วยป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษี แถมยังช่วยรับรองความถูกต้องของเอกสารทางกฎหมายอีกด้วย อากรแสตมป์ ไม่ใช่แสตมป์ปกติ หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าอากรแสตมป์เป็นแสตมป์ที่ใช้ในการส่งจดหมายหรือไปรษณีย์ แต่ความจริงแล้วอากรแสตมป์กับแสตมป์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยแสตมป์ หรือ ตราไปรษณียากร มีลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยม โดยจะนำไปใช้ติดบนซองจดหมายเพื่อใช้เป็นหลักฐานว่าได้ชำระค่าบริการส่งไปรษณีย์แล้ว ซึ่งจะมีแสตมป์ทั่วไปกับแสตมป์ที่ระลึกที่มีการออกแบบเนื่องในโอกาสพิเศษ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ เป็นต้น รูปแบบของอากรแสตมป์ เอกสารที่ต้องเสียค่าอากรแสตมป์มีอะไรบ้าง การทำตราสารหรือเอกสารบางประเภทในประเทศไทยต้องมีการประทับตราอากรแสตมป์เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยเอกสารที่ต้องจ่ายค่าอากรแสตมป์ เช่น สัญญาซื้อขาย สัญญาเช่าที่ดิน สัญญาจำนอง สัญญาร่วมลงทุน สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิ สัญญาจ้างทำของ สัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และเอกสารอื่น ๆ ที่มีผลทางกฎหมาย  วิธีการเสียค่าอากรแสตมป์ ข้อควรรู้เกี่ยวกับอากรแสตมป์ สรุปบทความ อากรแสตมป์เป็นส่วนสำคัญในการทำตราสารและเอกสารทางกฎหมายในประเทศไทย ความเข้าใจในเรื่องอากรแสตมป์และการใช้แสตมป์อากรอย่างถูกต้อง เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมทางการเงินหรือจัดการกับเอกสารสำคัญ โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ต้องเรียนรู้เรื่องบัญชี การเงิน และภาษีเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินกิจการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหล่านักลงทุน PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

9 min

อยากขายของใน Shopee ต้องเริ่มต้นอย่างไร

การขายของใน Shopee กลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ การขายของในช้อปปี้เป็นแพลตฟอร์มนี้มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีระบบที่ใช้งานง่าย สำหรับผู้ที่สนใจแต่ยังไม่รู้วิธีขายของใน shopee ว่าควรจะเริ่มอย่างไรดี ทำอย่างไรได้บ้าง และเสียค่าใช้จ่ายไหม วันนี้เรามีวิธีการขายของใน Shopee ตั้งแต่วิธีการสมัครขายของใน Shopee และรายละเอียดเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ มาฝากทุกคนกันให้สามารถวางแผนการขายของได้ตามเป้าหมายกัน จะเริ่มสมัครขายของใน Shopee อย่างไร การสมัครขายของใน Shopee ทำได้ง่าย ๆ เพียงใช้โทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ก็สามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ทันที โดยสามารถเริ่มต้นสมัครขายของใน Shopee ได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้ 1. สร้างบัญชี Shopee ผ่านแอปพลิเคชัน 2. สร้างบัญชี Shopee ผ่านคอมพิวเตอร์ สมัครขายของใน Shopee เสียค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง การขายของใน Shopee ไม่มีค่าใช้จ่าย ฟรีค่าแรกเข้า แต่ยังมีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายควรทราบเพื่อการวางแผนต้นทุนอย่างถูกต้อง ดังนี้ 1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย ใน shopee  ค่าธรรมเนียมจากการขายเป็นส่วนที่ Shopee เรียกเก็บเมื่อมีการขายสินค้าสำเร็จ โดยทั่วไปแล้ว Shopee จะคิดค่าธรรมเนียมนี้เป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้าที่ขายได้ ซึ่งอัตราค่าธรรมเนียมอาจแตกต่างกันไปตามหมวดหมู่ของสินค้าและโปรโมชั่น ซึ่งในสินค้าหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ จะคิดที่ 3% ส่วนหมวดหมู่อื่น ๆ จะคิดที่ 5% (โดยไม่รวมค่าขนส่งและส่วนลดอื่น ๆ ) 2. ค่าธรรมเนียมชำระเงินแบบปลายทาง การชำระเงินแบบปลายทางหรือ COD (Cash on Delivery) การชำระเงินวิธีนี้ผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียมชำระเงินปลายทางที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม COD เป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายที่ชำระผ่านวิธีนี้ โดยจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมชำระปลายทาง ที่ 2% จากผู้ขาย (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 3. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชีธนาคาร สำหรับการชำระเงินผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคาร หรือ Mobile Banking ผู้ขายต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% เปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 4. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต การชำระเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตเป็นอีกวิธีที่สะดวกสบายสำหรับผู้ซื้อ แต่สำหรับผู้ขายต้องถูกหักค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินที่ทำธุรกรรม โดยจะหัก 2% เมื่อผู้ซื้อชำระค่าสินค้าแล้ว (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 5. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน AirPay Wallet การชำระเงิน AirPay Wallet ใน Shopee เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมาก สำหรับผู้ขายการรับชำระเงินผ่าน AirPay Wallet จะมีค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 2% ของยอดทั้งหมด (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 6. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัตรเครดิต หรือบัตรเดบิต แบบผ่อนชำระ การจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตแบบผ่อนชำระ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีราคาสูงจะช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สำหรับผู้ขายการให้บริการผ่อนชำระนี้จะมีค่าธรรมเนียม 5% โดย 2% มาจากการทำธุรกรรมผ่านบัตรส่วน 3% มาจากการเลือกผ่อนชำระ (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) 7. ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่าน SpayLater SpayLater เป็นบริการชำระเงินแบบผ่อนชำระที่มอบความยืดหยุ่นแก่ผู้ซื้อ ทำการชำระเงินในภายหลัง สำหรับผู้ขาย การรับชำระเงินผ่าน SpayLater สำหรับผู้ขายจะมีค่าธรรมเนียม 2% ไม่ว่าจะชำระผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ตาม (รวมค่าขนส่งสินค้า ส่วนลด และการใช้ Shopee Coin แล้ว) สรุปบทความ สำหรับผู้ที่อยากเริ่มเส้นทางธุรกิจออนไลน์การขายของใน Shopee ถือเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมาก ๆ โดยสามารถสมัครขายของใน Shopee ได้ง่าย ๆ ทั้งผ่านแอปพลิเคชันและคอมพิวเตอร์เลย แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดการขายของในช้อปปี้ มีค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แฝงอยู่ เราจะต้องมีการทำบัญชีอย่างรอบคอบเพื่อคำนวณความคุ้มค่าของต้นทุนและการคิดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ มีบริการเชื่อมต่อ API กับพันธมิตรแพลตฟอร์ม FASTSHIP (แพลตฟอร์มขนส่งสินค้าและพัสดุ), TORYORDONLINE (แพลตฟอร์มค้าส่งออนไลน์), CLOUDCOMMERCE (แพลตฟอร์มเพื่อธุรกิจ e-Commerceครบวงจร), SELLSUKI (แพลตฟอร์ม e-Commerce Solution สำหรับธุรกิจออนไลน์) เป็นต้น ช่วยให้นักบัญชีทำงานได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น การบันทึกบัญชีเป็นอัตโนมัติมีความรวดเร็ว และถูกต้อง ครบถ้วน ไม่ต้องรอรับเอกสารแล้วค่อยบันทึกบัญชี  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

สินเชื่อ OD คืออะไร เรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการ SME ต้องรู้

สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อประเภทหนึ่งที่ธนาคารให้บริการแก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องทางการเงิน หรือที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อ “เงินหมุน” โดยเฉพาะในช่วงที่ธุรกิจต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน แต่ไม่ต้องการกู้ยืมเงินเป็นเงินก้อนใหญ่ สินเชื่อ OD คือ สินเชื่อที่ช่วยให้เจ้าของธุรกิจสามารถเบิกเงินจากบัญชีเงินฝากเกินกว่ายอดเงินที่มีอยู่ ได้ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกิน ซึ่งทำให้สินเชื่อ OD คือตัวเลือกที่ยืดหยุ่นและเหมาะสมสำหรับธุรกิจที่ต้องการเงินทุนสำหรับหมุนเวียนในระยะสั้น สินเชื่อ OD (Overdraft) คืออะไร? สินเชื่อ OD หรือ เงิน OD คือ การให้กู้เงินในรูปแบบของ “เงินหมุน” โดยที่ธนาคารผู้ให้กู้นั้นจะตั้งวงเงินไว้ในบัญชีกระแสรายวัน (Current Account) ที่บริษัทได้เปิดไว้กับธนาคารตั้งแต่ต้น โดยสามารถเบิกใช้เงินกู้นี้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่แจ้งเอาไว้กับธนาคารได้เลย ทั้งยังสามารถทยอยเบิกใช้ในยามที่จำเป็นได้ โดยไม่จำเป็นต้องเบิกภายในครั้งเดียวทั้งจำนวน แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่เบิกใช้เกินวงเงินที่ทางธนาคารกำหนดไว้ ซึ่งเงื่อนไขการผ่อนชำระนั้นจะเป็นไปที่กำหนดเอาไว้ในสัญญาสินเชื่อ มีการคำนวณดอกเบี้ยเป็นรายวัน ตามจำนวนที่ไปใช้จริงทุกสิ้นเดือน สินเชื่อ OD แตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน Loan อย่างไร สินเชื่อ OD คือ เงินที่กู้มาใช้ในระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อนำเงินมาหมุนในกรณีฉุกเฉินหมุนเงินไม่ทัน โดยจะเสียดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินที่ใช้ ซึ่งจะแตกต่างกับสินเชื่อเงินก้อน (Loan) อย่างชัดเจน เนื่องจากสินเชื่อเงินก้อน (Loan) จะได้รับมาเป็นเงินก้อนเพื่อนำไปใช้ขยายกิจการหรือลงทุนระยะยาวตามแจ้งไว้กับธนาคาร โดยจะเสียดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกและผ่อนชำระเท่ากันทุกเดือน  ข้อดีของสินเชื่อ OD คืออะไร สินเชื่อ OD มีข้อดีมากมายทำให้ได้รับความนิยมมาก ๆ ในธุรกิจ SME เนื่องจากมีความยืดหยุ่นในการเบิกถอนเงินจากบัญชีตามความต้องการได้ทันที ดอกเบี้ยที่จ่ายตามการใช้งานจริง ธนาคารจะคิดดอกเบี้ยเฉพาะในส่วนที่เบิกเกินเท่านั้น ช่วยเสริมสภาพคล่องในระยะสั้นทำให้ธุรกิจสามารถรับมือกับการขาดแคลนเงินสดหรือการชำระค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที โดยผู้ประกอบการจะเบิกเงินได้ทันทีหลังได้รับการอนุมัติ โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการอนุมัติใหม่อีกทุกครั้ง สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับใคร สินเชื่อ OD เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่มีความต้องการเสริมสภาพคล่องทางการเงินในระยะสั้น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการหมุนเวียนเงินสดสูง เช่น ธุรกิจค้าปลีก ค้าส่ง หรือธุรกิจที่ต้องการเงินสดเพื่อซื้อวัตถุดิบหรือชำระค่าใช้จ่ายในทันที สินเชื่อ OD ยังเหมาะกับธุรกิจที่มีรายรับไม่แน่นอนหรือมีรอบการชำระเงินยืดเยื้อ เนื่องจากสามารถใช้วงเงิน OD เพื่อรับมือกับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินได้ทันที นอกจากนี้ ธุรกิจที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการสภาพคล่อง และไม่ต้องการภาระดอกเบี้ยสูงเมื่อไม่ได้ใช้เงินเต็มวงเงิน จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากสินเชื่อ OD นี้ด้วย ข้อควรรู้ก่อนกู้สินเชื่อ OD คืออะไร แม้สินเชื่อ OD จะมีข้อดีที่น่าสนใจอย่างไร แต่สินเชื่อ OD ก็มีข้อควรระวังให้เราต้องพิจารณาก่อนการตัดสินใจกู้สินเชื่อ OD ด้วยเช่นกัน ดังนี้ สินเชื่อ OD คือ เงินกู้ประเภทที่มีความยืดหยุ่นสูง เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงินที่เหมาะกับผู้ประกอบการ SME ที่ต้องการเสริมสภาพคล่องในระยะสั้น การเข้าใจข้อดีและข้อควรระวังก่อนทำการตัดสินใจขอสินเชื่อ OD จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและไม่กระทบกับการดำเนินธุรกิจ PEAK โปรแกรมบัญชีออนไลน์ เราพร้อมช่วยผู้ประกอบการจัดการเรื่องภาษีและบัญชีได้อย่างถูกต้องรองรับการเติบโต ช่วยให้ธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จ ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก 

27 ธ.ค. 2024

PEAK Account

8 min

รหัส Swift code คืออะไร รวมรหัส Swift code จากทุกธนาคาร

รหัส SWIFT CODE เป็นหนึ่งในรหัสที่สำคัญที่สุดในโลกการเงินยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ เพราะเมื่อเวลาที่คุณต้องการโอนเงินไปยังประเทศอื่น คุณจำเป็นต้องใช้รหัสนี้เพื่อให้แน่ใจว่าเงินจะส่งถึงปลายทางถูกต้องและรวดเร็ว บทความนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจกับรหัส SWIFT CODE พร้อมกับให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับรหัสที่ใช้ในแต่ละธนาคารในประเทศไทย เพื่อให้คุณสามารถใช้ SWIFT CODE ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัยมากที่สุด รหัส SWIFT CODE คืออะไร? รหัส SWIFT CODEหรือ รหัส BIC (Business Identifier Code) คือ รหัสประจำตัวที่ใช้เจาะจงธนาคารและสถาบันการเงินทั่วโลก ทำให้การทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศสะดวก รวดเร็ว และถูกต้อง ซึ่งรหัสนี้จะประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขจำนวน 8-11 ตัว โดยรหัสแต่ละตัวก็จะมีความหมายที่แตกต่างกันไป รวมรหัส SWIFT CODE จากทุกธนาคาร ในประเทศไทย ธนาคารแต่ละแห่งจะมีรหัส SWIFT CODE เฉพาะตัว สำหรับใช้ในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งในส่วนของรหัสของแต่ละธนาคารจะมีดังนี้  รหัสธนาคารกรุงเทพ รหัสธนาคารกสิกรไทย รหัสธนาคารไทยพาณิชย์  รหัสธนาคารกรุงไทย รหัสธนาคารทหารไทยธนชาต  รหัสธนาคารกรุงศรีอยุธยา  รหัสธนาคารเกียรตินาคินภัทร รหัสธนาคารซีไอเอ็มบีไทย  รหัสธนาคารยูโอบี รหัสธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย รหัสธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ รหัสธนาคารไอซีบีซี รหัสธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ รหัสธนาคารออมสิน รหัสธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย รหัสธนาคารซิตี้แบงค์ SWIFT CODE เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการโอนเงินระหว่างประเทศ เพราะเป็นรหัสที่เอาไว้ใช้ระบุว่าการโอนเงินนั้นเป็นของธนาคารใด และด้วยระบบความปลอดภัยที่สูง อีกทั้งมีความแม่นยำ รวมถึงการที่สามารถตรวจสอบได้ทำให้ SWIFT CODE เป็นระบบที่ธนาคารทั่วโลกไว้วางใจ สำหรับข้อมูลในด้านอื่น ๆ คุณสามารถค้นหาจากเว็บไซต์ของธนาคารที่คุณใช้งานโดยตรงได้เลย  ทดลองใช้งานโปรแกรมบัญชี PEAK ฟรี! 30 วัน มูลค่า 1,200 บาทคลิก   (ไม่มีค่าใช้จ่าย)PEAK Call Center : 1485LINE : @peakaccountสอบถามเพิ่มเติม คลิก